การเดินทางของชีวิตหลังตาย

Submitted by dp6admin on Wed, 20/04/2016 - 19:09

การเดินทางของชีวิตหลังตาย

เรียบเรียงจากการบรรยายของเชคริฎอ อะหมัด สมะดี
 
เราเกิดมาจากไหน ? อยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร ? ตายแล้วจะไปไหน ? เป็น 3 คำถามที่สร้างความไม่สบายใจให้กับมนุษย์ทุกคน ซึ่งทุกศาสนาในโลกใบนี้ ปรัชญา ความรู้ของใครก็ตามยังไม่สามารถให้คำตอบ 3 คำถามนี้ได้ นอกจากอัลอิสลามเท่านั้นที่สามารถให้คำตอบได้อย่างละเอียดทั้งหมดว่าเรามาจากไหน ตั้งแต่สมัยนบีอาดัม และมาอยู่ในโลกนี้ได้เพราะอะไร พร้อมให้บทเรียน  ตลอดจนมาอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร ต้องทำอะไรบ้าง แจ้งไว้อย่างละเอียด เมื่อตายแล้วก็ไม่ปล่อยให้เราอยู่ในความสงสัย แต่ยังให้แผนชีวิตของอนาคตอย่างละเอียดว่า ตายแล้วร่างกายและวิญญาณของเราจะไปอยู่ที่ไหน  จะเคลื่อนไหวไปไหน และในกุโบร์จะประสบอะไร  ครั้นเมื่อฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺ ก็ยังบอกรายละเอียดขั้นตอนของวันกิยามะฮฺไว้ทั้งหมดว่าเราจะประสบอะไรบ้าง  ทำให้เราสามารถวางแผนของอนาคตอันยาวนานของเรา ตั้งแต่ออกจากกุโบร์จนกระทั่งเข้าสวรรค์ ซึ่งเป็นอากีดะฮฺของเราที่ต้องเรียนรู้และศรัทธาต่อวันกิยามะฮฺและศรัทธาต่อเรื่องการเป่า (หน้า 98)
 
ลำดับเส้นทางประจำชีวิตของเรา
 
1. การเสียชีวิต  กิยามะฮฺแรกสำหรับเราจะเริ่มตั้งแต่การเสียชิวิตของเรา เพราะชีวิตเราสิ้นสุดแล้วและเรากำลังต้อนรับวันกิยามะฮฺของเราที่กุโบร์ (กุบูร) 
ขอให้เราได้เสียชีวิตก่อนวันกิยามะฮฺเถิด เพราะท่านนบี   ได้กล่าวว่า คนชั่วร้ายที่สุดคือคนที่มีชีวิตอยู่ในขณะที่วันกิยามะฮฺได้เกิดขึ้น  และอีกหะดีษที่นบี   กล่าวว่า วันกิยามะฮฺจะเกิดขึ้นโดยที่มนุษย์ที่อยู่ในขณะนั้นไม่มีใครกล่าวถึงอัลลอฮฺ   (คือไม่มีมุอฺมิน)  และหะดีษอีกบทหนึ่งท่านนบี  ได้กล่าวว่า  สัญญานของวันกิยามะฮฺ คือ จะมีพายุลมเย็นกระจายไปทั่วโลกยึดเอาวิญญาณของผู้ศรัทธาไป และจะมีมนุษย์พวกเดียวที่เหลืออยู่ คือ พวกคนชั่ว พวกปฏิเสธศรัทธา  
 
2. ในกุโบร์  เรานอนอยู่ในกุโบร์เพื่อรอคอยวันกิยามะฮฺ ผู้ที่อัลลอฮฺ   จะรักษาร่างกายไม่ให้สูญสลาย คือ บรรดานบี ผู้ตายชะฮีด คนที่ยกอะซานที่มัสยิดอย่างสม่ำเสมอ  และคนที่อัลลอฮฺ   ทรงประสงค์  แต่คนทั่วไปร่างกายจะสูญสลายไป
 
3. การเป่า  เป็นสิ่งแรกที่เกิดขึ้นในวันกิยามะฮฺที่แท้จริง ท่านอิสรอฟีลซึ่งเป็นท่านหนึ่งในบรรดาหัวหน้ามลาอิกะฮฺ จะเป็นผู้เป่าสังข์  มีรายงานว่า ขณะนี้ท่านจับสังข์พร้อมที่จะเป่าแล้ว ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่เป่า อุละมาอฺขัดแย้งกันว่า 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง  ทั้งนี้เพราะในอัลกุรอาน อัลลอฮ์   ได้ตรัสถึงการเป่าสังข์หลายครั้ง และในทุกครั้งที่กล่าวจะมีลักษณะของเหตุการณ์ เช่นใน ซูเราะห์อัซซุมัร อายะห์ที่ 68  อัลลอฮฺ   ตรัสว่า 
 
وَنُفِخَ فِي الصُّورِ فَصَعِقَ مَن فِي السَّمَاوَاتِ وَمَن فِي الْأَرْضِ إِلَّا مَن شَاءَ اللَّـهُ ۖ ثُمَّ نُفِخَ فِيهِ أُخْرَىٰ فَإِذَا هُمْ قِيَامٌ يَنظُرُونَ ﴿٦٨﴾
และเครื่องเป่าได้ถูกเป่าขึ้น แล้วบรรดาผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินจะล้มลงตายเว้นแต่ผู้ที่อัลลอฮฺประสงค์ แล้วสังข์ได้ถูกเป่าขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วพวกเขาก็ลุกขึ้นยืนมองดู
 
เมื่อมีการเป่าสังข์และจะมีการล้มตาย และในซูเราะห์อันนัมลฺ  อายะห์ที่ 87 อัลลอฮฺ    ตรัสว่า 
 
وَيَوْمَ يُنفَخُ فِي الصُّورِ فَفَزِعَ مَن فِي السَّمَاوَاتِ وَمَن فِي الْأَرْضِ
และ (จงรำลึกถึง) วันที่เครื่องเป่าจะถูกเป่าขึ้น ดังนั้นผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและผู้ที่อยู่ในแผ่นดินจะตื่นตระหนก (ซูเราะตุนนัมลฺ 87)
 
ในอายะฮฺนี้ระบุว่า วันที่มีการเป่าสังข์ จะมีการตระหนกตกใจ สะดุ้งกันทั้งโลก  อุละมาอฺวิเคราะห์ว่า การเป่าในสองอายะฮฺนี้เป็นเหตุการณ์ครั้งเดียวกันหรือต่างครั้งกัน จะขัดแย้งกันในเหตุการณ์ที่เกิดกับมนุษย์ คือ เป่าครั้งแรกจะตระหนกตกใจ  และเป่าครั้งที่ 2 จึงจะล้มตาย และเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพของโลก  เพราะบางท่านไม่ได้แยกไว้  อย่างไรก็ตามไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอะกีดะฮฺแต่อย่างใด  และเป่าครั้งที่ 3  คือ การเป่าให้ฟื้นคืนชีพ
 
4. การฟื้นคืนชีพ ไม่ใช่การบังเกิดเพราะไม่ได้มาจากไม่มีอะไรเลย แต่เป็นการฟื้นคืนชีพจากร่างที่สลายไปแล้วสู่สภาพเดิม ออกมาจากกุโบร์สู่สถานการณ์ของวันกิยามะฮฺแต่ละขั้นตอนเพื่อไปยังองค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ลองจินตนาการสภาพการลุกจากกุโบร์ของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย เท้าเปล่า เปลือยกาย ไม่ได้ตัดสุนัต สภาพเหมือนเกิดครั้งแรก ร่างกายสมบูรณ์ อายุมาก แต่มีสภาพเหมือนเด็กแรกเกิดจากมดลูก  ทำอะไรเองไม่ได้ มีลักษณะเดียวคือ ต้องการความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์  เท่านั้น โดยที่ทุกคนไม่มีโอกาสที่จะสนใจใคร  มลาอิกะฮฺจะผลักดันไล่บรรดามนุษย์ไปยังสถานที่ของวันกิยามะฮฺ  รอการตัดสิน ซึ่งสถานที่นี้ อุลามามีทัศนะขัดแย้งกันเป็น  2 ทัศนะว่า อยู่ในโลกนี้หรือโลกอื่น เพราะมีในอัลกุรอานที่อัลลอฮฮฺตรัสว่า “วันกิยามะฮฺ แผ่นดินจะถูกเปลี่ยนไป” อุละมาอฺจึงตีความว่า เฉพาะแผ่นดินเท่านั้น หรือหมายถึงโลกทั้งโลก  ขณะที่เดินไปนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ของระบบของโลกจักรวาลก็จะเปลี่ยนแปลงต่อหน้าเรา ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก ดวงอาทิตย์จะเข้าถึงโลกของเรา ท่านนบี   กล่าวว่า ดวงอาทิตย์จะใกล้กับศีรษะของบรรดามนุษย์ในโลกนี้ กฎธรรมชาติของวันกิยามะฮฺไม่เหมือนกฎธรรมชาติของโลกปัจจุบัน ท่านนบี   กล่าวว่าคนที่เย่อหยิ่งตะกับโบรดูถูกคนอื่น อัลลอฮฺ   จะให้รูปร่างเขาเหมือนมดและให้คนที่โดนดูถูกมาเหยียบเป็นการตอบแทนอันเหมาะสม  ร่างกายของคนทั่วไปก็ไม่เหมือนเดิม ท่านนบี   ได้กล่าวว่า ฟันของคน     กาเฟรในนรกเท่ากับภูเขาอุฮุด ร่างกายใหญ่โตเพื่อที่จะได้เจ็บให้มากที่สุด และรูปร่างของชาวสวรรค์สมบูรณ์เหมือนท่านนบีอาดัมตอนบังเกิดมาครั้งแรก สูง 30 ศอก  ร่างกายของเราก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อดวงอาทิตย์เข้าใกล้ศีรษะ เหงื่อจะกลายเป็นน้ำท่วม บางคนท่วมถึงตาตุ่ม บางคนท่วมถึงหู บางคนจมไปในน้ำเหงื่อของตัวเอง แล้วแต่อามั้ลการกระทำของเขา  นี่คือสภาพของคนทั่วไปที่ต้องเดือดร้อน แต่มีอยู่ประเภทหนึ่งที่อยู่แบบสบายไม่ต้องเดือดร้อน นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่สร้างจากรัศมี คือ พวกที่รักกันเพื่ออัลลอฮฺ   เพราะอัลลอฮฺทรงโปรดปรานคนที่ให้อัลลอฮฺมีความสำคัญในชีวิต
 
คนแรกที่จะถูกฟื้นคืนชีพนั้นคือ ท่านนบีมูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างไรก็ตามเรื่องนี้อุลามาขัดแย้งกัน เพราะมีฮาดีสที่ท่านนบี   กล่าวว่า “ฉันจะถูกฟื้นคืนชีพวันกิยามะฮฺ  เมื่อถึงวันกิยามะฮฺ ฉันจะมองพระบัลลังก์ของอัลลอฮฺ    และพบว่าท่านนบีมูซาจับขาพระบัลลังก์ของอัลลอฮฺ  อยู่  ฉันก็ไม่รู้ว่าท่าน นบีมูซาฟื้นคืนชีพก่อนฉันหรือไม่”   การที่ท่านนบีมูซาฟื้นคืนชีพหมายถึง  ไม่ให้ตายและฟื้นคืนชีพเพราะชดเชยหรือทดแทนครั้งแรกที่ท่านนบีมูซาได้พูดกับอัลลอฮฺ  ที่ภูเขาอัตตูร และได้ยินเสียงที่ทำให้ท่านล้มตายไป  เหตุการณ์นี้อัลลอฮฺ  อาจจะทดแทนให้ท่านนบีมูซาไม่ต้องตายในวันเป่าสังข์ จึงฟื้นคืนชีพเป็นคนแรก 
สภาพมนุษย์ในวันกิยามะฮฺจะเดินไปสู่สถานที่วันกิยามะฮฺเหมือนฝูงตั๊กแตนที่กระจายทั่วไป มืดมิดไปหมด นี่คือสิ่งที่ศาสนาอิสลามได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตอย่างละเอียดซึ่งไม่มีที่ใดจะให้ได้ เพราะอัลลอฮฺ    เท่านั้นที่จะให้ข้อมูลได้อย่างละเอียด  บรรดามนุษย์จะรีบเร่งไปสู่เสียงที่เรียกไปสู่การตัดสิน สภาพมนุษย์แบบนี้ไม่มีการส่งเสียงดัง เนื่องจากความตื่นตระหนก ตกใจกลัว พูดไม่ออก จะพูดคุยเสียงดังไม่ได้  จะไม่ได้ยินเสียงเลยนอกจากเสียงกระซิบ สภาพของทุกคนจะอยู่ในลักษณะ “นัฟซี นัฟซี- ตัวฉัน ตัวฉัน” อย่างเดียว ถึงขั้นที่อัลลอฮฺ   ตรัสว่าวันกิยามะฮฺคนที่เป็นที่รักที่สุดก็คือ ตัวเอง  
 
5. การเดินไปสู่วันกิยามะฮฺ  เวลาของการเดินไปสู่วันกิยามะฮฺและรอคอยการตัดสิน จะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุด คือ  5 หมื่นปี ในสภาพที่ดวงอาทิตย์จะอยู่ใกล้ศีรษะ  ยืน 5 หมื่นปี เพื่อรอคอยให้อัลลอฮฺ  ทรงเริ่มตัดสิน  จนกระทั่งบรรดามนุษย์เดือดร้อนถึงขั้นจะขอต่ออัลลอฮฺ  ให้ทรงตัดสินเสียทีถึงแม้ว่าจะทรงตัดสินให้ไปนรกก็ตาม  แต่อัลลอฮฺ  ไม่รับ จึงต้องไปหาชะฟาอะฮฺจากบรรดานบีและรอซูล 
 
6. การขอชะฟาอะห์  โดยไปหาบรรดานบีและรอซูลเพื่อให้ท่านขอดุอาอฺให้อัลลอฮฺ   ทรงเริ่มตัดสิน ทั้งนี้ ได้ไปหาท่านนบีอาดัมเป็นท่านแรก จากนั้นจึงไปหาท่าน นบีมูซา ท่านนบีอีซา และอื่นๆ ซึ่งต่างก็บอกปัดว่า ฉันช่วยไม่ได้  สุดท้ายจึงมาหาท่านนบีมูฮำหมัด   นบีท่านสุดท้าย ซึ่งท่านนบี   ก็จะกล่าวกับบรรดามนุษย์ทั้งหลายว่า “ฉันคนเดียวที่จะขอความช่วยเหลือด้านชะฟาอะฮฺได้ ฉันจะเดินไปสู่พระบัลลังก์ของอัลลอฮฺ    และจะกราบสุหยูดให้แก่พระองค์  ขณะนั้นอัลลอฮฺ   จะสอนบทสรรเสริญต่อพระองค์ ช่วงนั้นที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ท่านนบี  ก็จะไปสุหยูดต่ออัลลอฮฺ  ยาวนาน ด้วยการสรรเสริญดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺ  ให้อัลลอฮ์ทรงเริ่มตัดสินในวันกิยามะฮฺเสียที จนกระทั่งมีเสียงจากอัลลอฮฺ  ที่ทรงเรียกให้ท่านนบี   เงยศีรษะขึ้นและขอความช่วยเหลือให้ใครก็ได้แล้วพระองค์จะทรงให้  ท่านนบี  สามารถจะขอความช่วยเหลือซึ่งบรรดานบีและรอซูลท่านอื่นไม่สามารถทำได้ ท่านนบี   จะขอให้อัลลอฮฺ  เริ่มตัดสินวันกิยามะฮฺ  ขอให้บรรดาผู้ศรัทธากลุ่มหนึ่งเข้าสวรรค์โดยไม่ผ่านกระบวนการตัดสินสอบสวนใดๆ  ขอให้บรรดาผู้ศรัทธากลุ่มหนึ่งที่สมควรเข้านรกไม่ต้องเข้านรกแต่ให้เข้าสวรรค์ได้เลย ขอให้บรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่ในสวรรค์ระดับต่ำให้ขึ้นสู่ระดับสูงกว่าเดิม  ขอให้บรรดาที่สมควรอยู่ในนรกหลายๆ ปี ให้รีบออกจากนรก  ท่านนบี  จะขอให้อัลลอฮฺ  ช่วยเหลือแม้กระทั่งกาเฟรบางคนที่อยู่ในนรกระดับรุนแรงให้อยู่ในระดับบรรเทา ซึ่งได้แก่ลุงของท่านนบี   คือ อบูตอเล็บเท่านั้นให้อยู่ในชั้นสูงของนรกซึ่งเป็นขั้นทรมานขั้นเบาที่สุด คือยืนบนหินไฟ แค่สมองเดือด   หลังจากนี้ จึงจะมีการตรวจสอบคิดบัญชี  
 
7. การคำนวณ สอบสวน และตรวจสอบบัญชีการกระทำของมนุษย์  บรรดามนุษย์มีหลายกลุ่ม  
1- กลุ่มหนึ่งที่อัลลอฮฺ  จะยกเว้นไม่ต้องสอบสวน ได้เข้าสวรรค์เลย  ท่านนบี  กล่าวไว้ว่า มีอยู่ 7 หมื่นคนเท่านั้นในบรรดามนุษย์ทั้งหลาย  และใน 7 หมื่นคนนี้ ทุกพันใน 7 หมื่นก็จะได้ 7 หมื่นไปด้วย รวม 4 ล้าน 9 แสนคนในบรรดามนุษย์ ที่จะเข้าสวรรค์โดยไม่มีการสอบสวนแต่อย่างใด  ฮาดีสนี้ประกอบการบันทึกของอิหม่ามบุคอรีและอะหฺมัด  ท่านอุกาชะฮฺได้ขอท่านนบี  ให้ได้เป็น 1 ใน 7 หมื่น ท่านนบี  จึงกล่าวว่า ขอให้ท่านได้เป็นเถิด ศอฮาบะฮฺท่านอื่นๆ ก็ขอด้วย แต่ท่านนบี  กล่าวว่า  อุกาชะฮฺได้ไปแล้ว ศอฮาบะฮฺจึงถามว่า คุณลักษณะของคนกลุ่มนั้นเป็นอย่างไร ท่านนบี  จึงย้อนถามว่า อยากเป็นเช่นนั้นหรือไม่  ทั้งนี้ มีเงื่อนไข 4 ประการ หากปฏิบัติตลอดชีวิต วันกิยามะฮฺเมื่อฟื้นคืนชีพก็จะได้เข้าสวรรค์โดยไม่ถูกสอบสวน  คือ
1. ไม่ไปขอให้คนอื่นรุกยะห์ให้ ( คือ การรักษาโรคด้วยการดุอาอฺ หรือ อ่านอัลกุรอ่านเป่าให้ในการรักษาโรค ) แต่หากมีคนมาอ่านกุรอานเป่าให้เองโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ขอ ก็ไม่มีปัญหา โดยที่เจ้าตัวจะขอต่ออัลลอฮฺ   อย่างเดียวในการรักษา
2. ไม่ใช้วิธีรักษาด้วยการจี้ไฟ ซึ่งสมัยก่อนจะใช้ไฟในการรักษาโรค
3. ไม่เชื่อในโชคลาง โชคร้าย  แต่ต้องเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างอัลลอฮฺ   ทรงกำหนด 
4. มอบหมาย ตะวักกุ้ลต่ออัลลอฮฺ   องค์เดียวเท่านั้น ตะวักกุ้ลเป็นพฤติกรรมที่เชื่อในอัลลอฮฺ  ที่ทรงให้หายจากโรค หมอเป็นเพียงสาเหตุ เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่อัลลอฮฺ  ทรงสร้างไว้ในโลกนี้
สิ่งที่ท่านนบี  ได้ตั้งเป็นเงื่อนไขนี้ สำหรับคนที่พึ่งอัลลอฮฺ  จริงๆ  หากดำรงชีวิตโดยปฏิบัติตาม 4 ประการ นี้ ได้เข้าสวรรค์โดยไม่ถูกสอบสวน มนุษย์อื่นจากกลุ่มนี้จะต้องได้รับการสอบสวน
2- กลุ่มหนึ่งจะถูกสอบสวนเบาๆ คือ กลุ่มผู้ศรัทธา อัลลอฮฺ   จะทรงระบุความผิด 2-3 อย่าง และถามว่า ได้ทำหรือไม่  เมื่อตอบรับแล้ว ก็จะเป็นบาปเล็กที่อัลลอฮฺ  ทรงสอบสวน การที่อัลลอฮฺได้ทรงปกปิดความผิดไว้ในโลกนี้ พระองค์ก็จะทรงปกปิดในวันกิยามะฮฺด้วย พร้อมทั้งเปลี่ยนความผิดนี้ให้เป็นความดี  ผู้ศรัทธาประเภทที่ได้รับการสอบสวนแบบเล็กน้อยนี้ คือ ผู้ที่มีความเกรงกลัวและความละอายต่ออัลลอฮฺตลอด สำนึกผิดตลอด รู้ว่าตัวเองผิดก็กลับเนื้อกลับตัว   ทั้งนี้เพราะ อัลลอฮฺ  ทรงมีพระนามว่า “อัรเราะห์มานอัรเราะห์ฮีม- เมตตาเสมอ” อัลลอฮฺ  จะทรงอภัยโทษให้ ซึ่งท่านนบี  ได้กล่าวว่า ความผิดเท่ากับน้ำหนักโลกนี้ อัลลอฮฺ  สามารถที่จะลบล้างได้ หากสำนึกแล้วกลับเนื้อกลับตัว  นอกจากนี้ท่านนบี  ได้กล่าวว่า อัลลอฮฺ  ตรัสว่าทุกคนที่ทำความผิด ในวันกิยามะฮฺ อัลลอฮฺ  จะทรงให้อภัยโทษ ยกเว้นคนที่กระด้าง เผยความชั่ว เช่น สูบบุหรี่หน้าสุเหร่า 
3- สำหรับอีกกลุ่มหนึ่งที่จะถูกสอบสวนอย่างละเอียด ในทุกสิ่งไม่มียกเว้น  โดยที่จะมีบางคนปฏิเสธว่าไม่ได้ทำความผิด  ทั้งๆ ที่มีบันทึกปรากฎอยู่  แต่อัลลอฮฺ  ทรงเป็นผู้ทรงยุติธรรม จึงไม่ให้ปากพูด แต่เท้าไปทำอะไรมาจะพูด  มือไปทำอะไรมาก็จะพูด ทุกอวัยวะพูดสารภาพหมด  จากนั้นอัลลอฮฺ   ก็จะทรงอนุมัติให้ปากพูด ก็จะด่าอวัยวะของตัวเอง  นี่คือสภาพการสอบสวนในวันกิยามะฮฺ 
 
8. ใบปลิว ผลการบันทึกจากสมุดบันทึกอามั้ลความชั่วความดีทั้งหมด    สมุดบันทึกทั้งหลายของมนุษย์จะอยู่ที่อัลลอฮฺ   โดยมลาอิกะฮฺ 2 ท่านจะทำหน้าที่บันทึกทั้งมือขวาและมือซ้าย และนำไปมอบให้อัลลอฮฺ  
หลังจากถูกสอบสวนแล้วก็รออีกพักหนึ่ง สมุดบันทึกของอัลลอฮฺ  ก็จะกระจายมา ทุกคนก็จะรู้เล่มของตัวเอง โดยสมุดอามั้ลจะไปอยู่ในมือของเจ้าของ ถ้าเป็นคนดี จะเป็นชาวสวรรค์ก็จะไปอยู่ในมือขวา แต่คนที่จะเข้านรก จะมีสัญญาณที่ปรากฎ คือ จะรับสมุดอามั้ลของเขาด้วยมือซ้ายจากด้านหลัง หากรับในลักษณะนี้ แสดงถึงความหายนะ เข้านรกแน่  แม้ว่าจะเป็นผู้ศรัทธา  สำหรับคนที่ได้รับสมุดอามั้ลด้วยมือซ้ายทางด้านหลัง ก็จะเกิดความกังวล เศร้าโศก เพราะจะต้องเข้านรก  ส่วนคนที่ได้รับสุมดด้วยมือขวา เป็นชาวสวรรค์ตามที่หวังไว้ ก็จะอวดกันด้วยความดีใจ ซึ่งวันกิยามะฮฺสามารถอวดกันได้ว่า ฉันได้รับสมุดด้วยมือขวาเป็นคนดี เป็นชาวสวรรค์  แต่ในโลกดุนยานี้การอวดอามั้ลความดีกันไม่สามารถทำได้เพราะทำให้อามั้ลของเราโมฆะล้มเหลว  
สัญญาณการจะเข้าสวรรค์หรือนรกไม่ใช่เพียงการรับสมุดอามั้ลด้วยมือซ้ายหรือมือขวาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการชั่งด้วยตราชั่งอีกสัญญาณหนึ่ง 
 
9. การชั่งด้วยตราชั่ง  เป็นตราชั่งที่มี 2 ข้าง ข้างหนึ่งชั่งอามั้ลที่เป็นความดี และอีกข้างหนึ่งจะชั่งอามั้ลที่เป็นความชั่ว  ถ้าความดีหนักกว่าความชั่ว จะเป็นชาวสวรรค์ ถ้าความชั่วหนักกว่าความดี ก็จะเป็นชาวนรก  ซึ่งเป็นสัญญาณที่จะเพิ่มความอบอุ่นใจ เพราะบางคนที่ได้รับสมุดอามั้ลด้วยมือขวา แน่นอนได้เข้าสวรรค์ แต่รู้ว่าในสมุดมีความชั่วที่ต้องชำระ พอมาชั่งน้ำหนัก เอาสมุดอามั้ลมาตั้ง ถ้าความดีหนักกว่า ก็จะได้เข้าสวรรค์ แม้จะมีความชั่วอยู่  แต่ถ้าสมุดอามั้ลมีความชั่วหนักกว่าความดี ก็จะต้องขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของอัลลอฮฺ    หากอัลลอฮฺ  ทรงเมตตาก็อาจไม่ต้องไปชำระที่นรก ได้เข้าสวรรค์เลย แต่ถ้าเท่ากันพอดี  ก็จะเป็นชาวอัลอะรอฟ  อัลอะรอฟ คือสถานที่ระหว่างสวรรค์กับนรก ยังไม่เข้าสวรรค์ยังไม่เข้านรก ต้องรออีกพักหนึ่ง แต่ก็ทรมานแล้ว เพราะอัลลอฮฺ  ได้ตรัสไว้ใน      ซูเราะห์อัลอะอฺรอฟ ว่า พวกเขาได้ไปมองดูทั้งชาวสวรรค์และชาวนรก ท่านนบี  จึงกล่าวว่า จงป้องกันตัวเจ้าจากนรก ถึงแม้จะบริจาคไม่ถึงครึ่งดิรฮัมก็ตาม  จงบริจาคแม้เพียงเล็กน้อยก็จะมีผล        อุลามาบางท่านกล่าวว่า การชำระความผิดอาจเกิดจากความเดือดร้อนที่ประสบในวันกิยามะฮฺก็เป็นได้ เพราะตั้งแต่ออกจากกุโบร์จนไปถึงชั่งน้ำหนัก อาจมีการชำระความผิดไปด้วย ความผิดหลุดไปตามที่อัลลอฮฺ  จะทรงเมตตาก็ได้ เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วทุกคนก็จะรู้ว่าตัวเองจะไปไหน อย่างไรก็ตามก่อนที่จะไปสวรรค์ยังคงมีอีกหลายขั้นตอนต่อไป 
 
10. บ่อน้ำของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม  อุลามาขัดแย้งกันว่า อยู่ที่ทางเดินไปสถานที่วันกิยามะฮฺ หรืออยู่หลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว แต่ทัศนะที่มีน้ำหนักกว่า คือ จะอยู่ช่วงสุดท้ายหลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว ผู้ศรัทธารู้ตัวแล้ว แต่จะมีการคัดอีกขั้นหนึ่ง คือ คัดคนดีเลิศ คัดหัวกะทิของประชาชาติอิสลาม เป็นชาวสวรรค์รุ่นแรก  ท่านนบี  กล่าวว่า บ่อน้ำของท่านนบี    มีระยะห่างของบ่อน้ำเท่ากับระยะระหว่างมักกะห์กับเมืองซะมาอะห์เกือบพันกว่ากิโล บ่อน้ำนี้สำหรับประชาชาติอิสลามเท่านั้น สีน้ำของบ่อน้ำท่านนบีนั้นขาวกว่านม มีความหวานกว่าน้ำผึ้ง และจะมีขันตักน้ำวางอยู่ใกล้บ่อน้ำเท่ากับจำนวนดวงดาวบนท้องฟ้า ทุกคนรีบเร่งไปยังบ่อน้ำท่านนบี   เนื่องจากรอกันด้วยความกระหาย มานาน 5 หมื่นปีแล้ว   ท่านนบี  จะรู้จักประชาชาติของท่านด้วยลักษณะการอาบน้ำละหมาด หน้าผาก ปลายอวัยวะทั้งมือและขา จะมีสัญลักษณ์สีขาวของการอาบน้ำละหมาด  ท่านนบี  ได้เปรียบเทียบเหมือนม้าที่ปลายเท้าปลายขาและหน้าผากจะมีสีขาว ท่านนบี  จะรู้ได้จากสัญลักษณ์นั้นจากการที่เป็นผู้ทีอาบน้ำละหมาดและละหมาด    และท่านนบี  จะเรียกประชาชาติของท่านและให้การต้อนรับ ตักน้ำให้ดื่มน้ำจากมือท่านนบี    แต่จะมีมลาอิกะฮฺมาลากบางกลุ่มที่ไม่มีสิทธิดื่มน้ำจากบ่อน้ำของท่านนบี ไปจากบ่อน้ำของท่านนบี  ทั้งๆ ที่มีสํญญลักษณ์  ซึ่งท่านนบี  ก็คัดค้านว่า นั่นประชาชาติของท่าน แต่มลาอิกะฮฺกล่าวว่า ท่านไม่ทราบหรอกว่า หลังจากท่าน พวกนี้ได้ทำการเปลี่ยนแปลงศาสนาของท่านทั้งเรื่องอากีดะฮฺและอิบาดะฮฺ  ทำบิดอะห์ ท่านนบี  จึงแช่งและไล่ให้ห่างไกลจากท่าน  ไม่มีสิทธิ์ดื่มน้ำจากบ่อน้ำท่านนบี   
วันกิยามะฮฺจะโกหกไม่ได้ อะไรที่เป็นรูปแบบชีวิตของเราจะปรากฏในวันกิยามะฮฺ ดุอาอฺของบรรดาอุลามาจะกล่าวว่า “โอ้อัลลอฮฺ โปรดให้เราได้มีสิทธิดื่มน้ำจากบ่อน้ำของท่านนบีสักครั้ง โดยที่จะไม่กระหายน้ำอีกต่อไปจนกระทั่งเข้าสวรรค์” สำหรับบ่อน้ำอัลเกาษัรนั้น มีทัศนะหนึ่งกล่าวว่า จะมีอีกบ่อหนึ่งในสวรรค์ 
หลังจากดื่มน้ำจากบ่อน้ำของท่านนบี   แล้ว  ก็จะมีการรอคอย ซึ่งเป็นการคัดอีกขั้นหนึ่งต่อไป
 
11. การรอคอย  บรรดามุอมินหรือแม้กระทั่งกาเฟรก็จะยืนรอ ทุกคนจะรอคอยพระเจ้า  คนที่บูชาเจว็ดก็จะรอพระเจ้าของเขาพาไปนรก และจะมีกลุ่มหนึ่งที่รออยู่ มลาอิกะฮฺจึงถามว่า ยืนอยู่ทำไม รออะไร  มุอิมินก็จะบอกว่า ยืนรอพระเจ้าของเราอยู่ เพราะมีสัญญาระหว่างผู้ศรัทธากับอัลลอฮฺ เพื่อจะเห็นขาของอัลลอฮฺ   เพราะอัลลอฮฺจะทรงเผยขาของพระองค์ และผู้ศรัทธาจะสูหยูดกราบให้อัลลอฮฺ   ยกเว้นพวกมุนาฟิก ซึ่งเป็นพวกที่อ้างว่าศรัทธาในดุนยา ไม่สามารถสุหยูดได้ เพราะหลังจะแข็ง  ชี้ให้เห็นว่า ในดุนยาพวกมุนาฟิกไม่ได้กราบเพื่ออัลลอฮฺ   แต่กราบเพื่อสิ่งอื่น ซึ่งขั้นตอนนี้จะคัดแยกผู้ศรัทธาที่มีความบริสุทธิ์ใจ และพวกที่บิดพริ้ว   ก่อนที่จะถึงขั้นที่อันตรายที่สุด 
 
12. สะพานอัศศิร้อต  เป็นขั้นที่อันตรายที่สุดในชีวิตของโลกอาคิเราะห์ ทุกคนต้องข้ามสะพานซีรอต  แม้กระทั่งบรรดานบี สะพานซีรอตมีนรกอยู่ข้างล่าง มีความละเอียดมากกว่าเส้นผม คมกว่าคมดาบ แต่สำหรับผู้ศรัทธาที่อัลลอฮฺ  ทรงประสงค์จะให้เข้าสวรรค์ บางคนจะข้ามได้รวดเร็วมาก  เปรียบเสมือนฟ้าแลบ บางคนก็เปรียบเสมือนขี่ม้าอย่างเร็ว บางคนก็จะเป็นลักษณะวิ่ง บางคนจะคลาน แต่รอดเพราะอามั้ลของเขา  หนามของนรกซึ่งท่านนบี   เปรียบเหมือนหนามของต้นไม้ในทะเลทราย จะคอยตะครุบลากลงนรก  คนที่จะตกนรกมี 2 ประเภท คือ กาเฟรทั้งหมด  และผู้ศรัทธาที่ไม่รอด ซึ่งจะอยู่ในนรกชั่วคราว ความลึกของนรก บางหลุมความลึกของนรก 70 ปี ยังไม่ถึงสุดท้ายของมัน ผู้ที่ข้ามสะพานซีรอตได้จะมีเฉพาะผู้ศรัทธาเท่านั้น เมื่อข้ามสะพานซีรอตได้แล้ว ก็สบายใจได้  แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงไม่ได้เข้าสวรรค์ จะต้องผ่านอีกขั้นหนึ่ง คือ  
 
13. สะพานสำหรับผู้ศรัทธา คนที่จะข้ามได้ต้องมีหัวใจที่บริสุทธิ์ ปราศจากมลทิน และการบาดหมางกับพี่น้องมุสลิม  จึงจะเข้าสวรรค์ได้ โดยท่านนบี   จะเข้าสวรรค์เป็นคนแรก 
 
 
 
 

 

การเดินทางของชีวิตหลังตาย