คำนำพิมพ์ครั้งที่ 2

Submitted by dp6admin on Mon, 30/11/2009 - 08:47

    มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  ผู้อภิบาลแห่งสากลโลก การตอบแทนที่ดีจะประสบกับบรรดาผู้ที่มีความตักวา(ยำเกรงอัลลอฮฺ) และไม่มีความเป็นศัตรูใดๆเว้นแต่ต่อกลุ่มชนที่อธรรม ขอความสันติจงมีแด่ผู้ที่ประเสริฐที่สุดในบรรดานบีและศาสนฑูตของอัลลอฮฺ นั่นคือศาสดามุฮัมมัด และบรรดาวงศ์วาน ภรรยา และสาวกของท่าน ตลอดจนบรรดาผู้ที่ปฎิบัติตามกลุ่มชนเหล่านั้นด้วยดีตลอดมาจนถึงวันกิยามะฮฺ

    การพิมพ์หนังสือ เมื่อความจริงปรากฏ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546 นั้นมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความจริงและช่วยเหลือผู้ถูกอธรรม รวมทั้งถือเป็นความรับผิดชอบและการมีจรรยาบรรณในความรู้ และเป็นการทำหน้าที่ในฐานะนักวิชาการคนหนึ่ง ข้าพเจ้ามิได้ขายหรือจัดจำหน่ายหนังสือดังกล่าวเพื่อการพาณิชย์เหมือนที่ผู้ อื่นทำแต่อย่างใด ทั้งมิได้เรียกร้องสิทธิหรือผลตอบแทนในความรู้และสัจธรรมที่เผยแผ่ต่อมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ระงับลิ้นและปากมิให้ละเมิด ข้าพเจ้าได้รักษามารยาทของศาสนาในเรื่องความขัดแย้งในศาสนา ตรงข้ามกับคู่กรณี(ผู้ที่มีความขัดแย้งกับข้าพเจ้า)ที่ได้ใช้ข้อละเมิดของศาสนาในการวิจารณ์และใส่ร้ายข้าพเจ้า เชคอาลี อีซา ได้กล่าวหาข้าพเจ้าและบิดา ว่าได้ขายศักดิ์ศรีและศาสนาของเรา เขาได้กล่าวคำพูดที่ลิ้นมนุษย์มิอาจกล้าที่จะกล่าวได้ รวมทั้ง อิหม่ามสนั่น เพ็ชรทองคำ ก็ได้กล่าวหาข้าพเจ้าเช่นกันว่าได้รับใบปริญญามาด้วยการขโมยและคดโกง ทั้งได้กล่าวหาบิดาของข้าพเจ้าว่าเป็นคนโกหกมดเท็จ ในเรื่องที่บิดาของข้าพเจ้าได้ร่วมกับ อาจารย์ดารี บินอะหมัด ในการแปลความหมายอัลกุรอานฉบับภาษาไทยซึ่งพิมพ์โดยสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ อีกทั้งยังมีดาอีย์(นักเผยแผ่ศาสนา)อีกหลายคนที่ได้กล่าวร้ายต่อข้าพเจ้า เช่น อิสหาก พงษ์มณี, หะซัน นาคนาวา, คอลิด ปานตระกูล, สะอ๊าด อับดุลลอฮฺ, อับดุลฆอนี บุญมาเลิศ

นอกจากนี้ยังมีบัตรสนเท่ห์มากมายหลายฉบับ ส่งมาถึงตัวข้าพเจ้าและแจกจ่ายทั่วไป ซึ่งมีเนื้อหาที่ใส่ร้ายป้ายสีและด่าข้าพเจ้าต่างๆนานา โดยใช้คำด่าทอทุกรูปแบบที่แม้แต่มนุษย์ต่ำชั้นที่สุดยังไม่กล้าใช้ มิใช่เพียงแค่นี้แต่ถึงขั้นที่ข้าพเจ้าถูกแจ้งต่อทางราชการในข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่จากทางการมาสอบสวนข้าพเจ้าในข้อครหาดังกล่าว และญาติพี่น้องของข้าพเจ้ายังได้ร่วมกันวางแผนใส่ร้ายข้าพเจ้าโดยที่ นายอับดุลสลาม มัสอูดี (นายกอัลอิศลาหฺสมาคม)ได้กล่าวหาว่าข้าพเจ้ามีทัศนะและความเชื่อของลัทธิก๊อดยานียฺในเรื่องท่านนบีอีซา   โดยมีอิหม่ามมัสยิดอันซอริซซุนนะหฺ (อับดุลลอฮฺ กรีมี) ได้สนับสนุนการกล่าวหาดังกล่าวด้วย และผลที่เกิดตามมาคือข้าพเจ้าถูกห้ามเป็นอิหม่ามนำละหมาดหรือบรรยายในมัสยิดอันซอริซซุนนะฮฺ ด้วยมติของคณะกรรมการประจำมัสยิดอันซอริซซุนนะฮฺ โดยอ้างว่าข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่สร้างปัญหาในชุมชน และอัลอิศลาหฺสมาคมได้ระดมพลังเครือข่ายของ เชคอาลี อีซา เพื่อต่อต้านข้าพเจ้า เนื่องจากการที่ข้าพเจ้ารับรองว่า อาจารย์ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์ ไม่ได้เป็นก๊อดยานียฺอย่างแน่นอน

ในช่วงเวลานั้นข้าพเจ้าได้พยายามเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยต่อคนที่สร้างฟิตนะฮฺดังกล่าว ข้าพเจ้าได้เผชิญหน้ากับ เชคอาลี  อีซา, นายอับดุลสลาม มัสอูดี และคณะกรรมการอิศลาหฺสมาคม, นายอับดุลลอฮฺ กรีมี และคณะกรรมการมัสยิดอันซอริซซุนนะฮฺ, นายสะอ๊าด อับดุลลอฮฺ (ครูใหญ่โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร คลองสิบเก้า) และข้าพเจ้าได้เรียกร้องที่จะเผชิญหน้าและโต้เถียงกับทุกคนที่กล่าวว่า อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี เป็นก๊อดยานียฺ และข้าพเจ้าได้ประกาศว่าพร้อมที่จะโต้เถียงทางวิชาการ(บนเวที)กับทุกคนที่กล่าวหาในเรื่องนี้ แต่พวกเขาทั้งหมดก็ปฎิเสธ หันหลังให้และหนีการเผชิญหน้ามาโดยตลอด

เชคอาลี อีซา ได้พยายามหลบเลี่ยงและหนีข้าพเจ้า ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าจนถึงเวลานี้ หรือแม้แต่สมาชิกบางคนของมัสยิดอันซอริซซุนนะหฺและอัลอิศลาหฺสมาคมที่มีอคติก็เริ่มแสดงความบิดพลิ้ว และความกลับกลอกให้เห็น โดยได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าพวกเขาไม่เคยกล่าวหาว่า อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี เป็นก๊อดยานียฺแต่อย่างใด เพียงแต่ต่อต้านเขาในประเด็นอะกีดะฮฺบางเรื่องที่มีความคลาดเคลื่อน ในหนังสือกุรอานมะญีด และนั่นมิใช่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวและชี้แจงมาโดยตลอดดอกหรือ? หรือนั่นมิใช่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ปกป้องและยึดมั่นมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา??

ถึงอย่างไรก็ตามการท้าทายต่อ เชคอาลี อีซา และผู้ที่กล่าวหาว่า อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี เป็นก๊อดยานียฺนั้นยังคงมีอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าพร้อมที่จะโต้เถียง(ในเชิงวิชาการ) กับเขาต่อหน้าสาธารณชน และขอประกาศตรงนี้ว่าพวกเขาได้บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด และยังคงบ่ายเบี่ยงจนถึงวันนี้ แต่พวกเขากลับป่าวประกาศว่าข้าพเจ้าต่างหากที่บ่ายเบี่ยง ซึ่งเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีพยานหลายคนและมีหลักฐานเสียงบันทึกที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า พวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายหลีกหนีการเผชิญหน้าและไม่ยืนหยัดบนจุดยืนที่พวกเขาประกาศต่อสาธารณชน

ช่วงที่หนังสือ เมื่อความจริงปรากฏ ถูกตีพิมพ์นั้น อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี ยังมีชีวิตอยู่ และเขาได้เสียชีวิตหลังจากนั้นสองปี จนถึง ณ เวลานี้ข้าพเจ้ายังคงยืนยันในจุดยืนของข้าพเจ้าที่ได้ชี้แจงไปแล้ว ซึ่งจากการศึกษาอย่างครอบคลุมและละเอียดรอบคอบแล้วข้าพเจ้าไม่เห็นว่า อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี เป็นก๊อดยานียฺแต่อย่างใดและไม่เคยเป็นก๊อดยานียฺด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ไม่เห็นด้วยกับบางประเด็นในการอรรถาธิบาย และการแปลความหมายอัลกุรอานที่มีความคลาดเคลื่อนของเขา ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนรุ่นหลัง จากเขาที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่ผิดพลาดเหล่านั้น

    ณ จุดนี้ข้าพเจ้าขอชี้แจงประเด็นใหม่ๆเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป ดังนี้

หนึ่ง : เชคอาลี อีซา ได้ให้หลักฐานโดยอ้างถึงงานวิจัยของ ดร.อับดุลลอฮฺ หนุ่มสุข ที่ได้นำไปเสนอในงานประชุมว่าด้วยเรื่องการแปลความหมายอัลกุรอาน ที่จัดขึ้น ณ ประเทศซาอุดิอาระเบียเมื่อสองปีที่ผ่านมา ซึ่งงานศึกษาดังกล่าวได้นำเสนอประเด็นความคลาดเคลื่อนบางประการ ในเรื่องการแปลความหมายอัลกุรอานเป็นภาษาไทยของ อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี ในหนังสือ กุรอานมะญีด และ บยานุลกุรอาน ให้เป็นตัวอย่างของการแปลความหมายอัล    กุรอานที่บิดเบือน ซึ่ง ดร.อับดุลลอฮฺ หนุ่มสุข ได้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าคำแปลของ อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี เป็นการแปลของก๊อดยานียฺ

และเพื่ออธิบายประเด็นนี้ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่า ดร.อับดุลลอฮฺ หนุ่มสุข นั้นเป็นนักค้นคว้าวิจัยเฉพาะด้าน และได้สำเร็จการศึกษาของท่านโดยมีผลงานวิชาการรองรับ แต่ทว่างานศึกษาของเขาในเรื่องกุรอานมะญีดและบยานุลกุรอานนั้นขาดคุณสมบัติของงานวิจัยที่ครอบคลุมสมบูรณ์ ซึ่งคุณสมบัติสำคัญที่ขาดไปคือ การเปรียบเทียบอย่างมีจรรยาบรรณและอะมานะฮฺ(ความรับผิดชอบ) โดยที่ ดร.อับดุลลอฮฺ หนุ่มสุข ได้ระบุความผิดพลาดบางประการของ อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี เหมือนกับที่ เชคอาลี อีซา ได้ระบุในวารสารสายสัมพันธ์ จนทำให้ข้าพเจ้าคิดไปว่าเขาได้เขียนงานวิจัยด้วยการยกข้อมูลทั้งหมดมาจากหนังสือของ เชคอาลี อีซา และเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของข้าพเจ้า ก็ขอให้ ดร.อับดลลอฮฺ หนุ่มสุข (ซึ่งเป็นนักวิจัยเฉพาะด้าน)ตอบคำถามว่า มุฮัมมัดอาลี อัลลาฮูรี เป็นอาจารย์ของ อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี หรือไม่ ? และถ้าหากอาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี ได้ยึดเอาการแปลของมุฮัมมัดอาลีเป็นต้นฉบับในการแปลหนังสือกุรอานมะญีดและบยานุลกุรอาน จนถึงขั้นที่อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในนักเผยแพร่ของลัทธิก๊อดยานียฺแล้วไซร้ ก็ขอให้ ดร.อับดุลลอฮฺ ตอบคำถามเราว่า เพราะเหตุใด อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี จึงมิได้นำคำแปลของมุฮัมมัดอาลีในการแปลความหมาย อัลกุรอานอายะฮฺที่ว่า

مَّا كَانَ مُحَمَّدٌ أَبَا أَحَدٍ مِّن رِّجَالِكُمْ
ความว่า “มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า..” (อัลอะหฺซาบ 40)

ซึ่งมุฮัมมัดอาลี อัลลาฮูรี ได้อธิบายอายะฮฺนี้โดยใช้คำพูดที่ทำให้เข้าใจว่าเขามีความเชื่อใน มิรซา ฆุลาม อะหมัด ถึงขั้นที่ระบุชื่ออย่างชัดเจน ในขณะที่อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี ได้ปฎิเสธเรื่องดังกล่าวทั้งหมด และอธิบายเรื่องนี้โดยใช้การตัฟซีรที่ถูกต้องของอะหฺลุซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ และหากกล่าวว่า อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี เป็นผู้ตามมุฮัมมัดอาลีในด้านอะกีดะฮฺของเขาแล้ว ทำไมอาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี จึงได้อธิบายเรื่องการแยกดวงจันทร์ในหะดีษศอฮี้ฮฺบุคอรียฺเหมือนกับที่อะหฺลุซซุนนะหฺวัลญะมาอะฮฺได้อธิบาย และยังยืนยันถึงความมหัศจรรย์(มุอฺญิซาต)ของท่านนบีมุฮัมมัด   ในเรื่องที่เหนือธรรมชาติ แท้จริงแล้วนักค้นคว้าเฉพาะด้านนั้นก่อนที่เขาจะฮุกุ่มหรือตัดสินคนใดคนหนึ่งนั้น เขาจะต้องศึกษาผลงานและงานเขียนต่างๆของคนๆนั้นให้ละเอียดเสียก่อน แต่สิ่งที่ ดร.อับดุลลอฮฺ ได้ทำนั้นเป็นเพียงการนำบางประเด็นจากหนังสือสองเล่มดังกล่าวมาอ้างและตัดสินว่า อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี เป็นลูกศิษย์ของมุฮัมมัดอาลี อัลลาฮูรี อัลอะหฺมะดียฺ(เป็นก๊อดยานียฺ) ทั้งนี้หาก เชคอาลี อีซา เป็นผู้กระทำเรื่องนี้ก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจแต่อย่างใดนัก เนื่องจาก เชคอาลี อีซา มิได้เป็นนักค้นคว้าเฉพาะด้านที่มีความชำนาญในวิชาการศาสนา และ มิได้เป็นผู้ลึกซึ้งในงานวิจัยศาสนาเป็นเพียงผู้ค้นคว้าธรรมดา จึงทำให้เขาผิดพลาดในหลายๆประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ อันเป็นประเด็นที่แม้แต่นักเรียนทั่วไปนั้นไม่ผิด พลาดด้วยซ้ำ

และข้าพเจ้าได้คัดค้านเรื่องนี้อย่างเต็มที่ถึงแม้ข้าพเจ้าจะให้ความเคารพ ดร.อับดุลลอฮฺ ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อมิให้มิใครต้องถูกหลอกหรือเข้าใจผิดอันเนื่องจากงานค้นคว้าดังกล่าว และเพื่อป้องกันมิให้นำข้อสรุปจากงานค้นคว้านี้ไปอ้างเป็นหลักฐานที่จะตัดสินให้มุสลิมคนหนึ่งคนใดออกจากศาสนา(ตกมุรตัด)อย่างที่ เชคอาลี อีซา ได้กระทำ เพราะการกล่าวหาผู้อื่นเป็นกาฟิร(ตักฟีร)นั้น เป็นหนึ่งในบรรดาบาปใหญ่หรืออาจเป็นสาเหตุให้ผู้ที่กล่าวหาต้องออกจากศาสนา ด้วยซ้ำไป

สอง : มีคนกลุ่มหนึ่งได้ฉวยโอกาสใช้ความขัดแย้งในเรื่องนี้ระหว่างข้าพเจ้ากับ เชคอาลี อีซาในการประชาสัมพันธ์ให้กับตัวเอง โดยที่พวกเขาได้แต่งหนังสือเพื่อทำลายเกียรติยศและศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าและโจมตีจุดยืนของข้าพเจ้าที่มีต่อ อิบรอฮีม กุเรชี ทั้งได้ใส่ร้ายในศาสนาของ อิบรอฮีม กุเรชี หลังจากที่เขาได้เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งสังคมส่วนใหญ่รู้จักคนกลุ่มนี้ดี และรู้ดีถึงความรู้ด้านวิชาการที่พวกเขามี ซึ่งคำพูดที่ไร้สาระหรือการพูดพล่ามของพวกเขานั้นไม่คู่ควรแก่การตอบโต้หรือให้ความสำคัญแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่นบางคนได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าอ่อนในภาษาอาหรับเพราะข้าพเจ้าได้อ่านสำนวนของท่านอิบนุญะรีรในคำศัพท์ที่ว่า ( قبل ) ซึ่งข้าพเจ้าได้เขียนว่า ( قَبْلِ ) แต่พวกเขาเห็นว่าควรจะอ่าน  ( قِبَل )ทั้งๆที่พวกเขาได้ยึดแนวการให้สระของประโยคดังกล่าวจากฉบับเดียวกันโดยที่ผู้ตรวจสอบบางคนรู้ดี แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็มิได้พูดถึงหรือโต้เถียงในคำอ้างของพวกเขาในเชิงวิชาการหรือเชิงภาษาแต่อย่างใด พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับจุดมุ่งหมายหรือเนื้อหาสาระหรือใจความในประโยคของท่านอิบนุญะรีรแม้แต่น้อย ซึ่งคำพูดหรือการกระทำเหล่านี้ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่คู่ควรที่จะให้ความสนใจแต่อย่างใด และอีกตัวอย่างหนึ่งคือการที่ เชคอาลี อีซาได้กล่าวว่ามหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรต้องละอายที่ข้าพเจ้าได้ใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยนี้ และกล่าวอีกว่าข้าพเจ้าเป็นบัณฑิตที่แย่ที่สุดตั้งแต่ได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยมา(นั่นคือตั้งแต่หนึ่งพันปีที่แล้ว) อันเป็นตัวอย่างคำกล่าวที่คนมีอคติเขาปฎิบัติกัน

การที่พวกเขาเหล่านั้นได้เหยียบย่ำบนบ่าคนอื่น ดูถูกผู้อื่น ใช้ชีวิตโดยบริโภคเนื้อหนัง(นินทาว่าร้าย)บรรดามุสลิมีน และคนดีคนศอลิหฺนั้น แน่นอนพวกเขาจะประสบกับการตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำอย่างแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง

แท้จริงแล้วอัลลอฮฺ   ได้แสดงให้พวกเขาเห็นซึ่งสัญญาณของพระองค์ กล่าวคือเรื่องราวข้อเท็จจริงเหล่านี้(ประเด็นการกล่าวหา อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี เป็นก๊อดยานียฺ)ที่พวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับมัน ปิดบังความจริงมานับสิบปีได้เริ่มเปิดเผยออกมาทีละน้อยต่อหน้าพวกเขา บรรดานักศึกษาเยาวชนที่พวกเขาได้พยายามอบรมเสี้ยมสอนให้ห่างไกลและระวัง อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี นั้นได้เริ่มตรวจสอบทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา บรรดามุสลิมจากเหนือจรดใต้ของประเทศไทยเริ่มกล้าที่จะพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้น หลังจากที่เคยเป็นสิ่งต้องห้ามที่จะแตะต้อง ถึงขั้นที่ว่าคนที่ชมเชยหรือให้การสนับสนุนอาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี ก็นับเป็นก๊อดยานียฺด้วยเช่นกัน

สาม : ประชาชาติได้ประสบกับความยากลำบากและวิกฤตการณ์มากมายในระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย เริ่มต้นด้วยสงครามระหว่างอิรักและสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ ข้าพเจ้าก็ได้เรียกร้อง เชคอาลี อีซา ให้ระงับและยุติข้อขัดแย้งนี้ก่อน อันเนื่องจากสถานการณ์ที่ประชาชาติกำลังประสบอยู่ แต่เขาได้ปฎิเสธและยืนกรานในความขัดแย้ง จนมาถึงเหตุการณ์ที่หนังสือพิมพ์เดนมาร์กเขียนการ์ตูนดูหมิ่นท่านนบี   ซึ่งเราก็ไม่เคยเห็น เชคอาลี อีซา และพวกของเขาได้กระทำสิ่งใดๆในอันที่จะปกป้องท่านนบี   แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งในแรงกายแรง ใจที่เขาได้ทุ่มเทให้กับประเด็นเรื่อง อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี แต่เรากลับเห็นเขาเงียบในขณะที่ท่านนบี   ถูกดูถูกดูหมิ่น และเราได้เห็นคนอีกกลุ่มหนึ่งได้เขียนหนังสืออ้างว่าการเดินประท้วงเป็นบิดอะฮฺ หลังจากที่พวกเขาเห็นเราและพี่น้องมุสลิมจำนวนหนึ่งไปประท้วงหน้า สถานฑูตเดนมาร์กเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีท่านนบี   แท้จริงประวัติและสิ่งที่พวกเขาได้กระทำตลอดมานั้นเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงแนวทางที่พวกเขากำลังเดิน พวกเขามีความจริงจังในการปกป้องศาสนาจริงหรือ ปกปักษ์รักษาหลักการและศักดิ์ศรีของศาสนาจริงหรือ ? ต่อสิ่งที่เป็นชิริก(ภาคี)มากมายที่มีอยู่ต่อหน้าพวกเขา ทำไมพวกเขาถึงได้นิ่งเฉย? ต่อสิ่งที่เป็นอุตริกรรม(บิดอะฮฺ)ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทำไมพวกเขาถึงได้ปล่อยเลยตามเลย?? ตลอดจนลัทธิอุบาทว์แท้ๆ เช่นการเผยแพร่ลัทธิก๊อดยานียฺ อะหฺมะดียะฮฺ บาไฮ และชีอะฮฺ ซึ่งผลงานของลัทธิดังกล่าวในสังคมมุสลิมอย่างเปิดเผย แต่กลุ่มของ เชคอาลี อีซา กลับทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อพิษภัยชัดเจนดังกล่าว ทั้งๆที่เหยื่อของลัทธิดังกล่าวเป็นคนใกล้ตัวจากกลุ่ม เชคอาลี อีซา แล้วด้วย

อันที่จริงแล้วเราได้บอกและตักเตือนพวกเขาแล้วว่ายังมีสิ่งต่างๆอีกมากมายในสังคมไทย ที่พี่น้องมุสลิมต้องสละกำลังและการทำงานเพื่อเผยแผ่ศาสนา และเชิญชวนผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมให้รู้จักอิสลาม หรือเพื่อต่อสู้กับสิ่งบิดอะฮฺมากมายในสังคมมุสลิมเรา เช่น กลุ่มตะเศาวุฟ, กลุ่มเฏาะริกัต, กลุ่มที่เชื่อในไสยศาสตร์, กลุ่มชีอะฮฺ, กลุ่มเซคคิวลาร์(กลุ่มที่มีแนวคิดแยกศาสนาออกจากทางโลก), กลุ่มแนวคิดหัวสมัยใหม่(ที่สนับสนุนการให้เสรีด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ชายหญิง) แต่กระนั้นพวกเขายังคงดึงดันที่จะหันกระบอกปืนและอาวุธของพวกเขามายังตัวข้าพเจ้า เสมือนว่าข้าพเจ้าเป็นศัตรูหนึ่งเดียวของศาสนา และสิ่งแปลกประหลาดที่ข้าพเจ้าได้ยินมาคือ เชค อาลี อีซา ได้ขู่และห้ามนักเรียนอัลฟุรกอนฟังการสอนและการบรรยายของข้าพเจ้า และห้ามอ่านหนังสือที่ข้าพเจ้าเขียน หากใครฝ่าฝืนและถูกจับได้จะต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียน จนมีนักเรียนคนหนึ่งได้ถูกไล่ออกด้วยสาเหตุดังกล่าว ทำให้มีผู้ปกครองส่วนหนึ่งมาร้องเรียนและปรึกษาข้าพเจ้าในเรื่องนี้ ซึ่งข้าพเจ้าได้แนะนำให้พวกเขาอดทนและกำชับให้นึกถึงสิ่งที่ดีของโรงเรียน

แต่ที่แปลกกว่าเรื่องนี้ก็คือ ได้มีความพยายามมากมายจากหลายฝ่ายที่จะประสานระหว่างข้าพเจ้าและ เชคอาลี อีซา ซึ่งทุกครั้งข้าพเจ้าจะยิ้มรับและตอบว่า  ใครเล่าที่บอกว่าฉันปฎิเสธ?? คนที่ ปฎิเสธคือ เชคอาลี อีซา ต่างหาก เขาได้พิมพ์หนังสือต่างๆให้ระวังและอย่ายุ่งเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้า เตือนญาติพี่น้องไม่ให้สลามข้าพเจ้าโดยให้เหตุผลว่าข้าพเจ้าเป็นพวกอุตริกรรม และบอกคนอื่นๆให้ปฎิบัติกับข้าพเจ้าเหมือนเป็นชาวบิดอะฮฺ!!!

สี่ : เชคอาลี อีซา และพวกของเขาได้พิมพ์หนังสือและจดหมายหลายฉบับเพื่อตอบโต้ตัวข้าพเจ้าและหนังสือ เมื่อความจริงปรากฏ และทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้อ่านข้อเขียนของพวกเขาก็หวังอย่างยิ่งว่าจะมีหลักฐานใหม่ที่สามารถเปลี่ยนทัศนะและจุดยืนของข้าพเจ้า แต่สิ่งที่เห็นคือเรื่องราวเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก การโกหกบิดเบือนและขาดจรรยาบรรณในทางวิชาการ จนทำให้ข้าพเจ้าคิดไปว่าพวกเขาเคยอ่านหนังสือที่ข้าพเจ้าเขียนบ้างหรือไม่?? นอกจากนี้สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นจากข้อเขียนของพวกเขาคือเรื่องเหลวไหลเยิ่นเย้อไร้คุณค่า การเติมหน้าหนังสือด้วยสิ่งที่ปราศจากสารัตถะใดๆ บางหน้านั้นก็เต็มไปด้วยคำด่าทอ การดูถูก การใส่ร้ายทำลายเกียรติ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องแบบนี้มิใช่เป็นสิ่งที่ใช้ในการโต้เถียงทางวิชาการ ข้าพเจ้ากลับคิดว่าพวกเขาคงจะอยู่ในสภาพไม่ต่างจากคนล้มละลาย (ทางความรู้และความคิด) จนไม่อาจหาเหตุผลหรือหลักฐานใดๆมาเสนอ จึงต้องใช้วิธีด่าทอและใส่ร้าย

บรรดานักวิชาการ ผู้รู้ นักเผยแผ่(ดาอีย์) และนักแสวงหาความรู้บางท่านได้กล่าวว่า หนังสือของข้าพเจ้านั้น(เมื่อความจริงปรากฏ)ครบถ้วนเพียงพอแล้ว(สำหรับเรื่องขัดแย้งดังกล่าว) ใครที่ได้อ่านจะสามารถรู้และเข้าใจเรื่องนี้ในทุกๆด้าน ซึ่งข้าพเจ้าได้ชุโกร ขอบพระทัยต่ออัลลอฮฺตะอาลา

ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าต้องการที่จะช่วยเหลือผู้ถูกอธรรม (อาจารย์ อิบรอฮีม กุเรชี) และต้องการอธิบายข้อเท็จจริงมากเพียงใด แต่ข้าพเจ้าไม่เคยยกยอปอปั้นหรือชมเชย อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี แม้แต่น้อย ข้าพเจ้ากลับบอกข้อผิดพลาดของเขาและเตือนมิให้เผยแพร่ข้อผิดพลาดดังกล่าว ซึ่งการตักเตือนของข้าพเจ้าโดยเฉพาะต่อครอบครัวของเขาและทุกคนที่พิมพ์หนังสือของเขา เป็นเรื่องระหว่างข้าพเจ้ากับพวกเขาและอัลลอฮฺเท่านั้น ไม่มีผู้ใดรับรู้ เพราะเรามิได้เป็นคนที่กล่าวร้ายคนอื่น หรือเปิดเผยเรื่องราวไม่ดีต่างๆต่อหน้าผู้อื่น

ห้า : ก่อนหน้านี้สามปีข้าพเจ้าได้ติดต่อศูนย์กลุ่มอัลอะหฺมะดียะฮฺ(กลุ่มก๊อดยานียฺ)ในกรุงเทพ เพื่อที่จะสอบถามถึงหนังสือหรืองานเขียนที่เป็นภาษาไทย พวกเขาให้คำตอบว่าไม่มีสิ่งพิมพ์ใดๆที่เป็นภาษาไทยเลย ข้าพเจ้าจึงได้ถามเรื่องการแปลความหมายอัล  กุรอานเป็นภาษาไทย พวกเขาก็ได้ปฎิเสธอย่างแข็งขัน ว่าไม่เคยมีการแปลความหมายอัลกุรอานเป็นภาษาไทย ข้าพเจ้าจึงพูดกับตนเองว่าทำไมเชคอาลี อีซา จึงได้กล้าสาบานต่ออัลลอฮฺว่าอาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี เป็นก๊อดยานียฺร้อยเปอร์เซ็นต์? ทำไมถึงได้กล่าวหาว่าหนังสือกุรอานมะญีดนั้นเป็นการแปลของก๊อดยานียฺหรืออะหฺมะดียะฮฺ!!?? และก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ศูนย์ก๊อดยานียฺดังกล่าวได้ติดต่อข้าพเจ้าเพื่อที่จะส่งหนังสือของพวกเขาให้ ข้าพเจ้าจึงได้ถามอีกครั้งว่ามีหนังสือที่เป็นภาษาไทยหรือไม่ พวกเขาก็ยืนยันเช่นเดิมว่าไม่มี

หก : วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มิได้ทำให้ข้าพเจ้าท้อแท้หรือหันเหไปจากการทำงานเพื่ออัลลอฮฺ   หรือการเผยแผ่ศาสนาศาสนาแต่อย่างใด ข้าพเจ้ากลับถือว่าปัญหานี้เป็นเรื่องสุดท้ายที่จะให้ความสำคัญ และบางครั้งก็ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ และข้าพเจ้ายังคงติดต่อกับ อาจารย์มุรีด ทิมะเสน และกำชับถึงเรื่องความจำเป็นในการทำงานเพื่อศาสนาของอัลลอฮฺ และไม่ให้ความสนใจต่อสิ่งไร้สาระเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้นการต่อสู้เพื่อความจริงและปกป้องคนถูกอธรรมนั้นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นและหลีกเลี่ยงมิได้ จนบางคนคิดว่าการที่เรานิ่งเฉยต่อการคร่ำครวญตอแยและการโวยวายของพวกเขานั้นเป็นเพราะเราอ่อนแอหรือขาดหลักฐาน ดังนั้นเราจึงตัดสินใจพิมพ์หนังสือนี้อีกครั้ง โดยที่มิได้เพิ่มเติมสิ่งใดยกเว้นคำนำบทนี้ เพราะไม่เห็นสิ่งใดในคำตอบโต้ของพวกเขาควรค่าแก่การตอบแม้แต่ น้อย ที่เห็นคือสิ่งเดิมนั่นคือการขาดซึ่งจรรยาบรรณความรับผิดชอบด้านวิชาการและความชอบธรรม การเติมหน้าหนังสือให้เต็มด้วยสิ่งไร้สาระ เรื่องเหลวไหลเยิ่นเย้อไร้คุณค่า รวมทั้งคำด่าทอ การดูถูก การใส่ร้ายทำลายเกียรติกัน

ข้าพเจ้าขอแนะนำผู้ที่อ่านหนังสือเล่มนี้ว่า ควรจะเหนียตและตั้งจิตใจที่อิคลาศ(บริสุทธิ์)ในการอ่าน นั่นคือเพื่อแสวงหาความจริง ซึ่งข้าพเจ้าพร้อมที่จะอธิบายและให้ความกระจ่างกับสิ่งที่อาจคลุมเครือ โดยสามารถติดต่อข้าพเจ้าได้โดยตรงทางโทรศัพท์ (0-2433-8754 หรือ 086-003-1821) หรือจะมาหาที่บ้าน ข้าพเจ้ายินดีน้อมรับทุกคำวิจารณ์หรือคำชี้แนะที่บริสุทธิ์ใจและมีประโยชน์

สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าเรียกร้องให้ เชคอาลี อีซา, ครูสะอ๊าด อับดุลเลาะห์, อ.อิสหาก พงษ์มณี, อ.คอลิด ปานตระกูล, อ.อับดุลฆอนี บุญมาเลิศ, อ.อับดุลเลาะฮฺ แดงโกเมน, คุณอับดุลวะฮาบ มัสอูดี, ตวนอับดุลสลาม มัสอูดี, ตวนอับดุลลอฮฺ กรีมี, คุณมานิตย์ กรีมี, คุณมะญัดดิ๊ด ฮะกีมี, คุณอับดุลละตีฟ สุขถาวร และอื่นๆ ซึ่งเคยมีบทบาทในการกล่าวหา อาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี ว่าเป็นก๊อดยานียฺหรือเผยแพร่ลัทธิก๊อดยานียฺนั้น ให้เตาบัตตัวก่อนถึงแก่อายั้ล เพราะการกล่าวหาคนหนึ่งคนใดว่าเป็นกาฟิรเป็นบาปใหญ่ และเป็นการละเมิดสิทธิของมุสลิม(ฮักกุลมุสลิม)อย่างมหันต์ และเรียกร้องบุคคลดังกล่าวและสถาบันที่สังกัด ให้คำนึงถึงบทบาทของตนในการทำงานเพื่ออิสลาม และอย่าให้ตนเองเป็นตัวอย่างอันอัปยศสำหรับเยาวชนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นสังคมมุสลิม (โดยเฉพาะกลุ่มซุนนะฮฺ)มีเอกภาพอย่างแน่นแฟ้น และข้าพเจ้าขอยืนยันถึงบัดนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยและคัดค้านใครที่กล่าวหาอาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี ว่าเป็นก๊อดยานียฺหรืออะหฺมะดียะฮฺ หรือเป็นผู้เผยแผ่ลัทธิดังกล่าว ทั้งนี้ข้าพเจ้าก็ยังหวังว่าหนังสือกุรอานมะญีดจะถูกแก้ไขเพื่อให้สอด คล้องกับหลักการของอะหฺลุซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺทั้งหมด เพื่อเป็นกุศลธรรมอันดีงามต่ออาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี หลังจากที่ท่านได้ล่วงลับไปแล้ว

ขออัลลอฮฺตะอาลา ทรงโปรดแก้ไขบูรณะกิจการต่างๆของประชาชาติ และขอทรงประทานความรักใคร่กลมเกลียวในหมู่มุสลิมีน และขอทรงรวบรวมพวกเขาให้ตั้งมั่นอยู่บนแนวทางที่ถูกต้องเที่ยงตรง แท้จริงพระองค์ทรงมีพระอำนาจในเรื่องดังกล่าวและทรงมีสิทธิเหนือทุกสิ่ง และข้าพเจ้าขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺให้สังคมของเราได้ประสบความมั่นคงและสงบสุข บนบรรทัดฐานของกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺโดยทั่วกันเทอญ

ริฎอ อะหมัด สมะดี
19 ชะอฺบาน 1427 / 12 กันยายน 2549