คำนำพิมพ์ครั้งที่ 1

Submitted by dp6admin on Mon, 30/11/2009 - 08:53

 

بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

الحَمْدُ للهِ المتَوَحِّدِ في الجَلالِ بِكَمَالِ الجَمَالِ تَعْظِيْمَاً وَتَكْبِيْرَاً ، المتَفَرِّدِ بِتَصْرِيْفِ الأَحْوَالِ عَلَى التَّفْصِيْلِ والإِجمْاَلِ تَقْدِيْرَاً وَتَدْبِيْرَاً ، وَصَلَّى اللهُ عَلَى مَنْ بَعَثَه اللهُ هَادِيَاً وَمُبِشِّرَاً وَنَذِيْرَاً وَدَاعِيَاً إِلَى اللهِ بِإِذْنِهِ وَسِرَاجَاًَ مُنِيْراً ، وَعَلَى آلِهِ وَأَصْحَابِهِ وَأَزْوَاجِهِ وَأَتْبَاعِهِ بِإِحْسَانٍ إِلَى يَوْمِ الدِّيْنِ وَسَلَّمَ تَسْلِيْمَاً كَثِيْرَاً ...وَبَعْدُ...

السَّلامُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللهِ وَبَرَكَاتُهُ

การสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ
และขอศ่อละวาตแด่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
 

 

    แท้จริงข้าพเจ้าไม่ได้คาดว่าจะมีวันหนึ่งในชีวิตที่จะลงทุนเสียเวลาบันทึกข้อความเช่นที่จะปรากฏต่อสายตาผู้อ่านในเอกสารเล่มนี้ เพราะข้อมูลสาระที่มีอยู่ในเอกสารเล่มนี้เป็นการปกป้องตัวข้าพเจ้าและชี้แจงถึงความไม่มีอมานะฮฺในการเสนอข้อมูลของบุคคลที่ถือว่าเป็นนักเผยแผ่ศาสนาในสายตาของสังคมโดยทั่วไป แต่ทว่าเป็นความจำเป็นที่ข้าพเจ้าต้องตีแผ่ข้อมูลเหล่านี้ อันเนื่องจากว่านักเผยแผ่ผู้นั้นได้โจมตีข้าพเจ้า ทำลายความบริสุทธิ์ของผู้อื่น ป้ายสีและกล่าวหาโดยปราศจากหลักฐาน จึงเป็นสิทธิสำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    เมื่อเริ่มเผยแผ่ศาสนา ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะมุ่งสู่การเรียกร้องความสามัคคีในสังคมมุสลิม ปลีกตัวจากปัญหาส่วนตัวที่ไม่เกี่ยว ข้องกับสาระวิชาการ ซึ่งทฤษฎีนี้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติและเผยแผ่ตั้งแต่อยู่ไคโร และข้าพเจ้าได้ระบุแนวเผยแผ่ดังกล่าวในหนังสือและเอกสารหลายเล่มที่ข้าพเจ้าเขียนเป็นภาษาอาหรับ เมื่อข้าพเจ้าได้คลุกคลีกับสังคมมุสลิมในประเทศไทย ก็เห็นสภาพความแตกแยกระหว่างองค์กรและสถาบันมุสลิม ซึ่งเป็นสภาพที่ทำให้ข้าพเจ้ายึดมั่นในทฤษฎีดังกล่าวอย่างหนักแน่น แต่ปรากฏว่าในสังคมของเราไม่มีใครสามารถเป็นตัวกลางที่จะประสานระหว่างผู้ขัดแย้ง เพราะจะถูกกล่าวหาจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคู่กรณีว่าตัวกลางไม่ชัดเจนคลุมเครือ หรืออาจถูกกล่าวหาเป็นมุนาฟิกก็มี นั่นคือเครื่องวัดที่ข้าพเจ้าได้เห็นในสังคมของเรา แต่สำหรับบรรดามุสลิมีนและมุสลิมาตโดยทั่วไป จะเห็นว่าเขาจะไม่มีทางเลือกในการสนับสนุน หรือต่อต้านฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะว่าแต่ละฝ่ายนั้นจะตีเส้นตั้งรั้วสร้างกำแพง แล้วข้อกล่าวหาต่างๆก็จะถูกเตรียมพร้อมเพื่อโยนเข้าใส่ผู้ที่ยืนเป็นกลาง

    การที่คนหนึ่งคนใดจะยืนเป็นกลาง หมายถึงยืนเป็นกลางระหว่างสองฝ่ายที่เป็นมุสลิมเหมือนกัน ยึดมั่นในแนวซุนนะฮฺเดียว กัน ซึ่งผู้นั้นจะพยายามประนีประนอม สมัครสมาน และเรียกร้องให้มีการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ขับไล่ทุกสาเหตุที่จะทำให้พี่น้อง มุสลิมแตกแยก และพยายามต่อต้านฟิตนะฮฺระหว่างสถาบันและบุคคล

    ข้าพเจ้าได้พยายามเรียกร้องความสามัคคีในกลุ่มซุนนะฮฺ มานานพอสมควร และได้เสียสละแม้กระทั่งศักดิ์ศรีเพื่อให้ความเป็นปึกแผ่นเดียวปรากฏในสังคม ซึ่งทุกคนที่เคยร่วมงานกับข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิเสธเรื่องเหล่านี้ได้ ข้าพเจ้ายังยืนยันในแนวเผยแผ่ที่ระบุข้างต้น และเรียกร้องให้พี่น้องทุกท่านมีบทบาทในการสร้างความสามัคคีให้สังคมของเราเข้มแข็ง เป็นญะมาอะฮฺที่มีพลังแห่งความศรัทธาและการปฏิบัติหน้าที่

สำหรับปัญหาของก๊อดยานียะฮฺนี้ เป็นปัญหาเกี่ยวกับหลักศรัทธา(อะกีดะฮฺ)ทั้งสิ้น เพราะก๊อดยานียะฮฺเป็นขบวนการทำลายอิสลาม ที่มีเจตนาสร้างความสับสนในเรื่องหลักศรัทธาของพี่น้องมุสลิม และพยายามทำให้ความมั่นคงแห่งศาสนาสั่นคลอน  การที่เราจะพูดถึงปัญหาดังกล่าว ควรที่จะเน้นความร้ายกาจและอันตรายของขบวนการนี้ในการทำลายอิสลาม แต่ตราบใดที่เราต้องการกล่าวถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการทำลายอัลอิสลามนั้น จำต้องมีข้อมูลและหลักฐานอันชัดเจน จึงจะทำให้เรามีสิทธิในการกล่าวหาตัวบุคคลนั้นๆ (แต่มิได้หมายความว่าทุกคนมีสิทธิในการพิพากษาความศรัทธาของบุคคลอื่น โดยไม่ปฏิบัติตามกระบวนการการกล่าว หาผู้อื่น ซึ่งมีมาตรการ กติกา มารยาท อย่างชัดเจนในวิชา อะดะบุลอิคติลาฟ ฟิล อิสลาม – มารยาทแห่งการขัดแย้งในอัลอิสลามการกล่าวหาผู้อื่น ต้องปฏิบัติสุดความสามารถในการวิจัยและแสวงหาทุกสาเหตุ ที่ทำให้คนหนึ่งคนใดตกอยู่ในความบกพร่องแห่งหลักอะกีดะฮฺ และถือสาเหตุนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้บุคคลที่ผิดพลาดนั้นรอดพ้นจากการตกศาสนาหรือเป็นฟาสิก ดังที่บรรดาอัสสะละฟุศศอลิหฺสั่งเสียไว้ ให้ทุกคนพยายามเห็นใจผู้ผิดพลาด ถึงแม้ว่าจะมีเจ็ดสิบข้ออ้างอิงเป็นสาเหตุในการผิดพลาดนั้น ควรที่จะห้ามมิให้มีการกล่าวหาเขา แต่ให้ตักเตือนเขาในฐานะเป็นพี่น้องกัน)

    ดังที่พี่น้องในสังคมมุสลิมทราบกันดีว่า เรื่องก๊อดยานียฺที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นปัญหาที่ถูกผูกพันกับตัวบุคคล (อิบรอฮีม กุเรชี) มิใช่ปัญหาที่เกี่ยวกับขบวนการที่จะทำลายล้างอิสลามใดๆทั้งสิ้น ดังที่จะสังเกตได้จากข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ในอดีตตลอดสามสิบกว่าปี ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคลและผลงานของเขาเป็นส่วนมาก แต่ข้อมูลที่เกี่ยวกับลัทธิก๊อดยานียะฮฺหรือขบวน การอื่นที่ทำลายล้างอัลอิสลาม กลับไม่ปรากฏในข้อมูลหรือบทความของผู้กล่าวหา ทำให้สังคมเรามีความเข้าใจว่า ขบวนการของก๊อดยานียะฮฺหรืออื่นๆ นั้นมีเพียงคนเดียว ข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ตลอดมา ก็ไม่ได้เน้นถึงบทบาทที่แท้จริงของลัทธิก๊อดยานียฺในประเทศไทย นอก จากนี้ยังทำให้สังคมมุสลิมเกิดความสับสนหลายๆประเด็น และเกิดความแตกแยกอันเนื่องมาจากการไม่มีอมานะฮฺ(ความซื่อสัตย์) ในการเสนอข้อมูล และสุดท้ายการกล่าวหาผู้อื่นในสังคมเราก็กลาย เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย โดยไม่มีการนำกติกาหรือหลักการมาปฏิบัติ

    ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องก๊อดยานียะฮฺ เราสามารถทำใจได้และมีความเห็นด้วย หากผู้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวได้นำเสนอข้อมูลในเชิงวิชาการ ตามระบบการเผยแผ่ศาสนาอิสลามอย่างเที่ยงธรรม แต่กลับเป็นว่าผู้นำเสนอข้อมูลได้ฉวยโอกาสโจมตี ป้ายสี ทำลาย เพื่อเอาชนะคู่กรณี ซึ่งไม่มีใครเข้าใจได้ว่าทำไมจึงพูดถึงเรื่องก๊อดยานียฺ โดยผูกพันไว้กับตัวบุคคลที่ไม่มีบทบาทในสังคมแล้ว (อิบรอฮีม กุเรชี) และอ้างตนว่าเป็นผู้ปกป้องศาสนา ทั้ง ๆ ที่สังคมไม่ได้รับอันตรายจากตัวบุคคลนั้นแต่ประการใดทั้งสิ้น และเรายืนยันได้ว่าข้อมูลต่างๆที่ถูกเผยแพร่ให้สังคมระมัด ระวังเป็นข้อมูลที่ถูกฝังและมิได้มีการกล่าวถึงกันมานานแล้ว แต่ผู้กล่าวหาว่าบุคคลอื่นเป็นก๊อดยานียฺเป็นผู้ฟื้นฟูลัทธินี้ขึ้นมาให้สังคมรับทราบ

ประเด็นที่อันตรายมากและยังไม่มีใครสามารถให้เหตุผลได้คือ นักวิชาการที่ไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิก๊อดยานียฺ และยืนยันในการประณามลัทธิก๊อดยานียฺ ประกาศอยู่เสมอว่าลัทธิก๊อดยานียฺเป็นขบวนการนอกกรอบอิสลาม และมีแผนที่จะทำให้โลกมุสลิมแตกแยก กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นก๊อดยานียฺ นั่นคือภาพลักษณ์ที่อยากจะให้พี่น้องมุสลิมในสังคมได้สังเกต และใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาตัดสิน ว่าใครเป็นผู้ก่อฟิตนะห์ในสังคม และใครที่เป็นผู้สร้างความแตกแยก

    ข้อตอบโต้ในเอกสารฉบับนี้ เป็นข้อมูลที่ถูกนำเสนอจากตำราของนักวิชาการโดยตรง โดยยึดในมาตรฐานแห่งการวินิจฉัยและวิจัย ซึ่งใครก็ตามที่จะมีความเห็นค้านกับข้อตอบโต้ในเอกสารนี้ จำเป็นต้องมีคำตอบในเชิงวิชาการด้วย โดยตอบตรงประเด็น เจาะปัญหา ไม่เล่นสำนวน ไม่บิดพลิ้วต่อจุดยืน และต้องมีความชัดเจนในการอ้างอิงถึงคำพูดหรือตำรับตำรา ส่วนประเด็นที่เอกสารฉบับนี้ยืนยันว่าเป็นมติเอกฉันท์และมีความเห็นด้วย ก็ไม่ควรนำไปพูดซ้ำ วิพากษ์วิจารณ์หรือพิจารณาใหม่อีก เพราะเป็นการเสียเวลาและไม่ส่งผลต่อการจัดระเบียบสังคม เป็นการดีกว่าที่จะใช้พลังในแนวทางที่มีประโยชน์ และแสวงบุญเพื่อศาสนาและความสำเร็จในวันปรโลก

ดังนั้น การพูดคุยเกี่ยวกับอันตรายของก๊อดยานียะฮฺหรืออะหฺมะดียะฮฺในเชิงตอบโต้เอกสารฉบับนี้ จะถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ไร้ประโยชน์ แต่ประเด็นที่เราเจาะจงและให้รายละเอียดต่อสังคม เมื่อไม่มีใครให้คำตอบเพื่อลบล้างความจริงที่ปรากฏในเอกสารฉบับนี้ สังคมจำเป็นต้องยอมรับในข้อมูลที่เป็นความจริงและแก้ไขความผิดหรือความประพฤติที่ขัดกับสัจธรรมและความเป็นจริง

    ในเอกสารฉบับนี้ จะนำเสนอให้สังคมได้เห็นการหลอกชาวบ้าน การเลือกปฏิบัติ และการบิดเบือนข้อความเพื่อกล่าวหาผู้อื่นโดยปราศจากหลักฐาน พี่น้องจะสามารถมองเห็นว่าเป้าหมายในการดำเนินกิจกรรมกล่าวหา ป้ายสีคนบริสุทธิ์โดยการปลุกผีก๊อดยานียฺ แล้วอ้างว่าเป็นการปกป้องอะกีดะฮฺนั้น เป็นการสร้างชื่อเสียงและอิทธิพลให้กับตนเอง ซึ่งข้อมูลในเอกสารนี้มีรายละเอียดมาก มายเกี่ยวกับการที่ อาลี อีซา กล่าวหา อิบรอฮีม กุเรชี ว่าเป็นก๊อดยานียฺด้วยประเด็นต่างๆ และการตอบโต้ข้อกล่าวหาเหล่านั้นด้วยหลักฐาน เพื่อพี่น้องจะได้ตระหนักในความจริงว่า นักวิชาการบางคนถึงแม้ว่าจะมีชื่อเสียง หรือถูกอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมีประสบ การณ์มากมายก็ตาม แต่หาเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ในการเสนอข้อมูลทางวิชาการไม่

    อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการที่ อาลี อีซา ได้บิดเบือนข้อความของ อิบรอฮีม กุเรชี โดยเจตนา เพื่อโจมตีคู่กรณี แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่สมควรที่จะนำเสนอข้อมูลดังกล่าวทั้งหมด เพราะไม่ส่งผลในการชี้แจงปัญหาการกล่าวหา ข้าพเจ้า อาจารย์มุรีด  ทิมะเสน และ อิบรอฮีม กุเรชี ว่าเป็นก๊อดยานียฺ แต่จะมีผลกระทบอันรุนแรงในตัวบุคคล ซึ่งข้าพเจ้าไม่มีความปรารถนาที่จะโจมตีคนหนึ่งคนใดโดยไม่มีเหตุผลแห่งความยุติธรรม หรือไม่มีคำอนุญาตโดยหลักการศาสนา

จึงขอให้พี่น้องพิจารณาข้อมูลในเอกสารฉบับนี้ และขอให้ขัดเกลาจิตใจของเราและความรู้สึกของเราต่อผู้อื่น ให้สอดคล้องกับความเป็นธรรมและความเป็นจริง และอย่าให้อารมณ์ใฝ่ต่ำของเรามีอิทธิพลในการบีบบังคับให้เราประพฤติสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือที่ศาสนาไม่อนุญาตให้กระทำ และอย่าให้สิ่งที่เราเชื่อมาตลอดอดีตเป็นความเชื่อที่ถูกปลูกฝังโดยบรรพบุรุษหรือผู้รู้โดยปราศจากหลักฐาน อันเป็นกรณีที่จะทำให้เรามีลักษณะเหมือนบรรดามุชริกีน ที่เคารพบูชารูปเจว็ดโดยอ้างบรรพบุรุษและผู้รู้ของเขา แต่อิสลามสอนให้เราถามผู้รู้ด้วยหลักฐาน ดังที่อัลลอฮฺ   ตรัสว่า ดังนั้น พวกเจ้าจงถามบรรดาผู้รู้หากพวกเจ้าไม่รู้ ด้วยหลักฐานทั้งหลายที่ชัดแจ้ง

นั่นคือเครื่องหมายที่จะรับประกันความถูกต้องในจุดยืนต่างๆ ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถบรรลุความจริงเกี่ยวกับตัวบุคคล เช่น การที่จะรู้ว่าคนหนึ่งคนใดเป็นก๊อดยานียฺหรือเป็นกาฟิร ก็จะไม่ส่งผลอันเลวร้ายกับเรา เพราะไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้เราประสบความ สำเร็จในวันปรโลก และพระองค์อัลลอฮฺจะไม่สอบสวนเราว่า ทำไมจึงไม่เชื่อว่า อิบรอฮีม กุเรชี หรือใครก็ตามเป็นก๊อดยานียฺหรือกาฟิร แต่เมื่อเรากล่าวหาและเชื่อว่าตัวบุคคลไม่ว่าจะเป็น อิบรอฮีม กุเรชี หรือใครก็ตาม ว่าเขาเป็นกาฟิรหรือก๊อดยานียฺ เราต้องเตรียมคำตอบ ณ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพราะเป็นการพาดพิงถึงบุคคลที่มีลักษณะความเป็นมุสลิม และการที่จะอ้างว่าโต๊ะครูคนหนึ่งคนใดตัดสินแล้ว วินิจฉัยแล้ว ไม่เป็นคำตอบอันยุติธรรมสำหรับศาลแห่งวันปรโลก เพราะศาสนาสอนไว้ว่า ให้ละทิ้งสิ่งที่มีความสงสัย ให้ละเว้นสิ่งที่ไม่มีหลักฐานแน่นอน การเชื่อว่าคนหนึ่งคนใดเป็นกาฟิรหรือก๊อดยานียฺหรือไม่ ไม่ใช่องค์ประกอบในหลักศรัทธาของบรรดาผู้ศรัทธา ตราบใดที่เรามีความชัดเจนว่า ก๊อดยานียะฮฺเป็นลัทธินอกกรอบศาสนา การปฏิเสธ(การกุฟรฺ)เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เข้านรกและอยู่อย่างตลอดกาล เป็นความพอเพียงสำหรับความเชื่อ ส่วนจะเชื่อในตัวบุคคลว่าเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องมีหลักฐานอย่างชัดเจน สังคมเรามีพื้นฐานอันมั่นคงที่จะปกป้องหลักศรัทธาไม่ให้หลั่งไหลไปกับลัทธิก๊อดยานียฺหรือนิกายอื่นๆก็ตาม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ปรากฏในสังคมมุสลิมไทยโดยทั่วไป ถ้าหากว่าเราหันไปเตรียมพื้นฐานแห่งหลักศรัทธาเชื่อมั่นในเรื่องอื่น จะเป็นการดีสำหรับสังคมมุสลิมในประเทศไทย เพราะขณะนี้กระแสความเชื่อที่ขัดกับหลักการอิสลาม กำลังซึมซับเข้าไปสู่ความเชื่อของเยาวชนของเรา โดยที่นักวิชาการและผู้นำมุสลิมไม่ทำหน้าที่ ไม่มีบทบาทในการปกป้องสังคมจากภยันตรายต่างๆ

สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าต้องวิงวอนต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้พระองค์ทรงอภัยโทษแก่ท่านอาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี ในสิ่งที่ท่านผิดพลาดโดยไม่เจตนา และขอให้พระองค์ทรงตอบรับการงานอันดีต่อศาสนาและสังคมที่ท่านได้ทิ้งไว้ แต่ผู้เนรคุณและโง่เขลาได้ปกปิดผลงานนี้และพยายามจับผิดค้นหาข้อบกพร่องเพื่อโจมตีผู้ที่มีผลงาน ซึ่งกลุ่มชนเหล่านี้มีอยู่ในทุกสังคมและกมลสันดานแก้ยากนอกจากถ้าอัลลอฮฺประสงค์ให้ทางนำแก่พวกเขา และขอต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้พระองค์ทรงให้ทางนำกับครอบครัวของอาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี เพื่อเป็นบุตรหลานที่สืบทอดคุณงามความดีของบิดา อันจะเป็นกุศลธรรมที่ยอดเยี่ยมสำหรับอาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี ถึงแม้จะล่วงลับไปแล้วก็ตาม และสำหรับผู้ที่ยังพยายามใส่ร้ายอาจารย์อิบรอฮีม กุเรชี ในทุกรูปแบบ ก็ขอต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้พระองค์ทรงเปิดหัวใจและให้ดวงตาสว่างสดใสมองเห็นสัจธรรมและปฏิบัติตาม แต่หากพระองค์ไม่ประสงค์เช่นนั้น ก็ขอให้พระองค์ทรงจัดการกลุ่มชนเหล่านี้ให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับกลุ่มที่ไม่หวังดีต่อสังคมมุสลิม

ขอให้พี่น้องมุสลิมทุกท่านที่มีข้อสงสัย หรือต้องการชี้แจงขยายความใดๆ ก็ตามที่อยู่ในเอกสารฉบับนี้ หรือได้รับข้อมูลจากผู้ใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นก๊อดยานียฺ ให้ติดต่อข้าพเจ้าที่เบอร์โทรศัพท์ 0-2433-8754 หรือ 086-003-1821

       ริฎอ อะหมัด สมะดี
                                            8 มิถุนายน 2546

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง