ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามประชาชาติอิสลามมิให้มีการอิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน จึงถือเป็นข้อห้ามที่ต้องมีโทษทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ซึ่งท่านนบีกล่าวไว้ว่า
عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ
لَا تَبَاغَضُوا وَلَا تَحَاسَدُوا وَلَا تَدَابَرُوا وَكُونُوا عِبَادَ اللَّهِ إِخْوَانًا
وَلَا يَحِلُّ لِمُسْلِمٍ أَنْ يَهْجُرَ أَخَاهُ فَوْقَ ثَلَاثِ لَيَالٍ
ความว่า : “พวกเจ้าอย่าโกรธกันและกัน อย่าอิจฉากันและกัน และอย่าหันหลังให้กันและกัน และจงเป็นบ่าวของอัลลอฮฺโดยเป็นพี่น้องซึ่งกันและกัน และไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับมุสลิมที่จะโกรธพี่น้องเขามากกว่าสามคืน” (บันทึกโดยอิมามมาลิกและอิมามบุคอรียฺ(บันทึกโดยอบูดาวู้ดรายงานโดย ท่านอนัส อิบนุมาลิก)
และในการบันทึกของท่านอิมามติรมีซียฺ รายงานโดยท่านสุเบร อิบนุลเอาวาม กล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า
عَنِ الزُّبَيْرِ بْنِ العَوَّامِ أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : دَبَّ إِلَيْكُمْ دَاءُ الْأُمَمِ قَبْلَكُمْ الْحَسَدُ وَالْبَغْضَاءُ هِيَ الْحَالِقَةُ لَا أَقُولُ تَحْلِقُ الشَّعَرَ وَلَكِنْ تَحْلِقُ الدِّينَ وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ لَا تَدْخُلُوا الْجَنَّةَ حَتَّى تُؤْمِنُوا وَلَا تُؤْمِنُوا حَتَّى تَحَابُّوا أَفَلَا أُنَبِّئُكُمْ بِمَا يُثَبِّتُ ذَاكُمْ لَكُمْ أَفْشُوا السَّلَامَ بَيْنَكُمْ
ความว่า : “โรคของประชาชาติยุคก่อนได้มายังพวกเจ้าแล้ว คืออิจฉาและโกรธ นั่นคือการโกน(ทำลายลบล้าง) ข้าพเจ้าไม่หมายถึงโกนผมแต่โกนศาสนา ขอสาบานด้วยพระผู้ที่วิญญาณของข้าพเจ้าอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า พวกเจ้าจะไม่เข้าสวรรค์จนกว่าจะศรัทธา และพวกเจ้าจะไม่ศรัทธาจนกว่าจะรักกันและกัน พวกเจ้าอยากรู้ไหมว่าพวกเจ้าจะบรรลุสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร จงแพร่ซึ่งการสลามระหว่างพวกเจ้า”
วจนะของท่านนบีข้างต้นได้กล่าวถึงโทษและอันตรายของการอิจฉาริษยา ว่ามันมีผลในการทำลายลบล้างคุณธรรม ศีลธรรม และกุศลธรรม และนั่นคือองค์ประกอบของศาสนาที่เราประพฤติดีเพื่อแสวงความพอพระทัยของอัลลอฮฺ จึงไม่เป็นเรื่องประหลาดที่ท่านนบี ได้กล่าวไว้ในหะดีษอีกบทหนึ่งว่า
عن أبي هريرة رضي الله عنه أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ
إِيَّاكُمْ وَالْحَسَدَ فَإِنَّ الْحَسَدَ يَأْكُلُ الْحَسَنَاتِ كَمَا تَأْكُلُ النَّارُ الْحَطَبَ أَوْ قَالَ الْعُشْبَ
ความว่า : “พวกเจ้าจงระวังอิจฉาริษยา แท้จริงการอิจฉาริษยาจะทำลายผลบุญ เปรียบเสมือนไฟที่มันทำลายฟืนและหญ้า” (บันทึกโดยอบูดาวู้ด, รายงานโดยท่านอบีฮุรอยเราะฮฺ)
หมายรวมว่าการอิจฉาริษยานั้นจะทำให้ผู้ศรัทธาขาดทุนซึ่งผลบุญที่สะสมไว้จะสูญหายด้วยความร้ายแรงร้อนระอุของการอิจฉาริษยา เพราะท่านนบีได้เปรียบเทียบอิจฉาริษยาประหนึ่งเป็นไฟลุกที่สามารถทำลายสิ่งต่างๆได้ ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะอิจฉาริษยาย่อมเกิดขึ้นจากความโกรธแค้น ซึ่งผู้โกรธนั้นมักจะมีความรู้สึกร้อนตัวและเดือดร้อนต่อผู้ที่ถูกโกรธแค้น จึงสามารถเรียกอิจฉาริษยาว่าเป็นโรคเอดส์แห่งอีมานได้ เพราะโรคเอดส์นั้นเป็นโรคที่ทำลายระบบป้องกันเชื้อโรคในร่างกายของมนุษย์ เนื่องจากไวรัสเอดส์นั้นจะทำลายภูมิคุ้มกันที่อัลลอฮฺทรงสร้างไว้ในร่างกายของมนุษย์ทุกๆคน ตราบใดที่ไวรัสเอดส์เข้ามาอยู่ในร่างกายมนุษย์ ก็เป็นมหันตภัยที่ร้ายแรงต่อชีวิตของมนุษย์ เพราะจะไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ อันก่อให้ร่างกายของมนุษย์อ่อนเพลียและหมดสมรรถภาพในการดำเนินชีวิตอย่างปกติ
โรคอิจฉาริษยาก็เช่นเดียวกัน เป็นไวรัสที่จะเกาะติดอยู่กับจิตใจของผู้มีความโกรธแค้นต่อคนอื่น และผู้ที่ไม่ตระหนักและไม่เชื่อในเดชานุภาพของอัลลอฮฺและความยุติธรรมของพระองค์ และจะทำลายคุณธรรมและผลบุญที่มีอยู่กับผู้ศรัทธา ซึ่งโรคอิจฉานั้นจะทำให้อีมานทรุดลง และหมดสมรรถภาพทางความบริสุทธิ์ใจ เพราะจิตใจเต็มไปด้วยความโกรธความริษยา ดังนั้นโรคแห่งจิตใจทุกชนิดสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ในจิตใจได้ เพราะคุณธรรมที่เคยมีอยู่ในจิตใจนั้นสูญหายไปด้วยการขยายตัวของโรคอิจฉาริษยา และนี่คือภาพอุปมาที่จะให้เห็นถึงมหันตภัยของโรคอิจฉาริษยาซึ่งมีลักษณะคล้ายกับโรคเอดส์
บรรดาบรรพชนยุคแรกได้ถือโรคอิจฉานั้นเป็นโรคที่สามารถนำความหายนะมาสู่ประชาชนทั้งปวง ท่านอิมามอบูดาวู้ดได้บันทึกไว้ในหนังสืออัสสุนัน จากท่านอบีอุมามะฮฺกล่าวว่า ฉันได้เดินทางกับ อนัส อิบนิมาลิก และได้ผ่านหมู่บ้านกลุ่มชนที่สูญพันธุ์ไป ซึ่งในหมู่บ้านนั้นไม่มีเครื่องหมายบ่งชี้ว่ามีใครอยู่เลย ฉันได้ถาม อนัส อิบนิมาลิก ว่า “ท่านรู้จักหมู่บ้านนี้ไหม ?” ท่านอนัส อิบนุมาลิก กล่าวว่า
مَا أَعْرَفَنِي بِهَا وَبِأَهْلِهَا هَذِهِ دِيَارُ قَوْمٍ أَهْلَكَهُمْ الْبَغْيُ وَالْحَسَدُ إِنَّ الْحَسَدَ يُطْفِئُ نُورَ الْحَسَنَاتِ وَالْبَغْيُ يُصَدِّقُ ذَلِكَ أَوْ يُكَذِّبُهُ وَالْعَيْنُ تَزْنِي وَالْكَفُّ وَالْقَدَمُ وَالْجَسَدُ وَاللِّسَانُ وَالْفَرْجُ يُصَدِّقُ ذَلِكَ أَوْ يُكَذِّبُهُ
“รู้สิ ทั้งหมู่บ้านและหมู่ชนที่เคยอยู่ในหมู่บ้าน นี่เป็นหมู่บ้านที่ประสบความหายนะเนื่องจากความอธรรมและอิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน แท้จริงอิจฉาริษยานั้นย่อมดับรัศมีแห่งคุณธรรม และความอยุติธรรมจะเป็นผลปรากฏยืนยัน(ในเรื่องอิจฉา) เปรียบเสมือนตาจะกระทำซินา(มองดู) และมือ เท้า สรีระ ลิ้น อวัยวะเพศ จะเป็นผลปรากฏยืนยัน(ในเรื่องซินา)ตามนั้น”
ท่านอิมามอิบนุลก็อยยิมได้อรรถาธิบายหะดีษที่ท่านนบีกล่าวถึงการทำลายและโทษของอิจฉาริษยาที่ระบุข้างต้น ท่านกล่าวว่า ผู้อิจฉาริษยาเมื่อคัดค้านความโปรดปรานของอัลลอฮฺต่อบ่าวของพระองค์ การอิจฉาและคัดค้านนั้นจะทำให้ผลบุญของเขาเสียหายไป ท่านอิมามอิบนุลก็อยยิมกำลังบอกว่า โทษร้ายแรงของอิจฉาริษยามันมิใช่ความผิดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์เท่านั้น แต่มันเป็นการละเมิดพระประสงค์ของอัลลอฮฺด้วยการคัดค้านความโปรดปรานที่อัลลอฮฺทรงกำหนดไว้สำหรับคนหนึ่งคนใด ซึ่งการคัดค้านนี้ถือเป็นความผิดมหันต์ เพราะเสมือนเป็นการต่อต้านอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา หรือต่อต้านสิทธิของพระองค์ในการบริหารและจัดการกิจการของโลกนี้ คนเหล่านี้ย่อมมีโทษอันร้ายแรงทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ
ที่มา : หนังสือ โรคเอดส์แห่งอีมาน(อิจฉาริษยา), โดย เชคริฎอ อะหมัด สมะดี
- Printer-friendly version
- Log in to post comments
- 2233 views