มีหะดีษบทหนึ่งมีประเด็นที่น่าวิเคราะห์เกี่ยวกับดินแดนแห่งความดี ดินแดนแห่งการอภัยโทษ ว่าบรรดาผู้ศรัทธามีท่าทีหรือมีความรู้สึกอย่างไร ในการบันทึกของท่านอิหม่ามบุคอรียฺและมุสลิม ท่านอบูสะอี๊ด สะอฺด อิบนิมาลิก อิบนิสินาน อัลคุดรียฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า
ท่านนบี ได้กล่าวกับเศาะฮาบะฮฺว่า ในหมู่ชนยุคก่อนหน้าพวกท่าน มีชายคนหนึ่งได้ฆ่า 99 ชีวิต
ซึ่งฆาตกรรมนั้นในทุกศาสนาถือว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ และในศาสนาอิสลามถือว่าเป็นบาปใหญ่มาก จนกระทั่งอุละมาอฺมีทัศนะว่าเป็นบาปใหญ่ที่การอภัยโทษไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺเท่านั้น แต่เป็นสิทธิของผู้ถูกฆ่าด้วย เพราะเป็นสิทธิของมนุษย์ ท่านนบี กล่าวว่า ในวันกิยามะฮฺคนที่ถูกฆ่าจะถูกฟื้นคืนชีพจากกุโบร์ของเขาด้วยสภาพที่ตัวเองถูกฆ่า ซึ่งในสำนวนหะดีษบอกว่า จะถูกฟื้นคืนชีพโดยถือศีรษะของตัวเอง เพราะถูกฆาตกรฆ่าตัดคอ และไปยังบัลลังก์ของอัลลอฮฺโดยจูงฆาตกรไปด้วย ไปยืนต่อหน้าอัลลอฮฺและพูดว่า “โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดถามคนๆ นี้ว่า ทำไมเขาถึงฆ่าฉัน” คนที่ไปฆ่าคนอื่นก็จะมีคำตอบในโลกนี้ที่สามารถไปอ้างกับอัลลอฮฺได้ หากต้องประหารเขาด้วยเหตุผลทางด้านศาสนาหรือความยุติธรรม ก็จะเป็นคำตอบให้ข้อตัดสินในวันกิยามะฮฺผ่านด้วยดี เช่น เขามาละเมิดชีวิตของฉัน ฉันก็ปกป้องสิทธิ หรือเขาเองเป็นฆาตกรและมีคำสั่งให้ประหารชีวิตเขา แต่ถ้าละเมิดชีวิตคนบริสุทธิ์ คำตอบนั้นจะลำบากมากในวันกิยามะฮฺ
ชี้ให้เห็นว่าฆาตกรรมเป็นบาปใหญ่ในศาสนาอิสลาม ถึงขั้นที่อับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบาส เคยบอกว่า ฆาตกรรมเป็นบาปชนิดหนึ่งที่เตาบัตไม่ได้ หมายถึงเตาบัตอย่างไรก็ต้องมีการลงโทษ แต่อุละมาอฺได้กล่าวว่าภายหลัง ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ อับบาส ได้เปลี่ยนทัศนะไปตามทัศนะอุละมาอฺและเศาะฮาบะฮฺส่วนมาก คือฆาตกรรมถึงแม้จะเป็นบาปใหญ่ก็สามารถได้รับการอภัยโทษ
- Log in to post comments
- 44 views