การศรัทธาต่ออัลลอฮฺและปฏิเสธฏอฆูต (สู่อีมานที่มั่นคง 6)

Submitted by admin on Fri, 05/02/2016 - 11:26
กะลีมะฮฺ 2 : การศรัทธาต่ออัลลอฮฺและปฏิเสธฏอฆูต
 
สืบเนื่องจากหัวข้อที่เราเคยกล่าวมาแล้วคืออีหม่านมีหลายระดับดังที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมระบุไว้ว่าตำแหน่งที่สูงสุดก็คือการกล่าว “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ มุฮัมมะดุรเราะสุลลุลลอฮฺ* ” ซึ่งคำกล่าวนี้เรียกว่า กะลีมะฮฺ หรือ กะลีมะตุชชะฮาดะฮฺ เป็นคำกล่าวที่มีความสำคัญยิ่งในศาสนาอิสลาม 
 
คำว่า “ الله  - อัลลอฮฺ”  หรือพระนามของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่เรากล่าวในชะฮาดะฮฺนี้จะมีความสำคัญ ถ้าหากเราได้ศึกษาอย่างละเอียด เนื่องจากการให้ความหมายชะฮาดะฮฺนี้ในภาษาไทย เมื่อเปรียบเทียบกับคำภาษาอาหรับอาจจะมีข้อแตกต่างกันมากมาย หรืออาจจะมีความหมายลึกซึ้งในภาษาอาหรับที่ไม่สามารถให้ความหมายเป็นภาษาไทยได้ เนื่องจากว่าวัฒนธรรมของแต่ละภาษานั้นมีข้อแตกต่างกันมากมาย ดังที่เราได้อธิบายว่าพระนามของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาที่เราใช้กัน คำว่า “ الله  - อัลลอฮฺ” นั้นมีความหมายมากมายที่ไม่มีในคำว่า “พระเจ้า”  หรือ “พระผู้เป็นเจ้า” 
 
คำว่า “ الله  - อัลลอฮฺ” มีความหมายว่า “ผู้ที่ถูกรัก” หรือ “ผู้ที่ถูกเคารพภักดี” หรือ “ผู้ที่ถูกเชื่อฟัง” หรือ “ผู้ที่ถูกยึดเป็นพระผู้เป็นเจ้าโดยที่ไม่มีภาคีที่จะมาคู่เคียงกับพระองค์” นั่นคือความหมายที่เราจะต้องเข้าใจต่อคำว่า “ -  الله อัลลอฮฺ” 
 
ในยุคของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตอนที่ท่านได้รับวะฮฺยู หรือหลักการอิสลามมาเผยแผ่นั้น บรรดามุชริกีน (ผู้ที่ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ก็ยังมีความเข้าใจว่า พระผู้เป็นเจ้านั้นไม่ควรที่จะเป็นองค์เดียว โดยที่เขาต่อต้านคำประกาศของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น ซึ่ง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงระบุไว้ในอัล-กุรอาน ว่า 
 
﴿ أَجَعَلَ ٱلۡأٓلِهَةَ إِلَٰهٗا وَٰحِدًاۖ إِنَّ هَٰذَا لَشَيۡءٌ عُجَابٞ ٥ ﴾ [ص : ٥]
“และบรรดามุชริกีนเขาจะกล่าวกันว่า มุฮัมมัดนั้นจะอ้างว่า มีพระเจ้าองค์เดียวกระนั้นหรือ นั่นเป็นสิ่งที่น่าประหลาดหรือเป็นสิ่งที่น่าแปลกมากที่เดียว” (ศอด : 5)
 
นั่นคือความคิดเห็นของบรรดามุชริกีนในยุคของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งไม่แตกต่างจากความคิดของบรรดามุชริกีน (บรรดาผู้ที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ในทุกยุค ทุกสมัย 
พวกเขาอาจมีความเห็นว่าการยอมรับว่ามีพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ชั้นฟ้าและแผ่นดิน และทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้นั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่อาจจะไม่ยอมรับในความเป็นเอกภาพ หรือการให้เอกภาพต่อพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นในศาสนาอิสลามจะมีเอกลักษณ์ในด้านอะกีดะฮฺ (อีหม่านหรือความศรัทธา) ต่อพระผู้เป็นเจ้า 
 
ในอัลกุรอานได้เสนอว่าความศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มิใช่เพียงแต่ศรัทธาในอัลลอฮฺ โดยมีความศรัทธากับภาคีอื่นๆ ที่ถูกอ้างอิงว่าเป็นพระเจ้าด้วย เพราะคำว่า “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” หมายถึง ไม่มีพระเจ้าที่ถูกเคารพ ไม่มีพระเจ้าที่ถูกเชื่อฟัง ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะ ไม่มีพระเจ้าที่ถูกรักอยากสมบูรณ์ นอกจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งมีหลายอายะฮฺในอัลกุรอานที่อธิบายถึงความหมายอันลึกซึ้งของ “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” เช่น อายะฮฺชัดเจนที่มีอยู่ใน ซูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสว่า 
 
﴿ ... فَمَن يَكۡفُرۡ بِٱلطَّٰغُوتِ وَيُؤۡمِنۢ بِٱللَّهِ فَقَدِ ٱسۡتَمۡسَكَ بِٱلۡعُرۡوَةِ ٱلۡوُثۡقَى ...﴾ [البقرة: ٢٥٦]
“บุคคลที่ปฏิเสธฎอฆูตและศรัทธาในอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แน่นอนแล้ว บุคคลเหล่านั้น คือบุคคลที่ยึดมั่นในสายเชือกที่มั่นคงของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา”
สายเชือกที่มั่นคงนั้นก็คือ คำว่า “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” ตามที่บรรดาสลัฟหลายท่านได้อธิบายคำว่า “ٱلۡعُرۡوَةِ ٱلۡوُثۡقَى” ก็คือคำว่า “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” 
 
“ฏอฆูต” ในอายะฮฺนี้ บรรดาอุละมาอ์อธิบายว่าหมายถึงสิ่งที่ถูกอ้างอิงว่าเป็นพระเจ้า หรือสิ่งที่ละเมิดขอบเขตการเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แทนที่จะเป็นสิ่งถูกสร้าง กลับถูกอ้างว่าเป็นพระเจ้าหรือเป็นภาคีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา สิ่งใดก็ตามที่ถูกกราบไหว้ ถูกเคารพภักดี หรือถูกเชื่อฟัง หรือถูกรักเทียบเท่ากับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็ถือว่าเป็น ฏอฆูต โดยที่สิ่งเหล่านั้นยอมรับในการถูกตั้งให้เป็นภาคีกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ดังนั้นเจว็ดต่างๆหรือ รูปปั้นต่างๆ หรือบุคคลที่เสนอตัวเป็นพระเจ้า เป็นภาคีกับอัลลอฮฺนั้น หากเขายอมรับในกรณีเหล่านี้ก็ถือว่าเป็น ฏอฆูต ดังนั้นมุอ์มินที่อยากจะมีอีหม่านมั่นคงต้องปฏิเสธทุกสิ่งที่ถูกอ้างเป็นฏอฆูต เป็นภาคีกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพื่อให้คำว่า “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” ของเขาอยู่ในสภาพที่มั่นคง 
 
ตราบใดที่เราเชื่อมั่นใน “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” แต่ยังมีความเชื่อ ในฏอฆูตหรือในภาคีหรือในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ถูกอ้างเป็นพระเจ้า หรือเป็นผู้ที่ต้องเชื่อฟัง ต้องถูกเคารพบูชาสักการะ พร้อมกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็แสดงว่า อีหม่านของเรานั้น เป็นอีหม่านที่ใช้ไม่ได้ เพราะสายเชือกของอีหม่านอันมั่นคง ที่อิสลามต้องการจากมนุษย์นั้นก็คือการศรัทธาในอัลลอฮฺ พร้อมกับการปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกอ้างเป็นพระเจ้า เป็นภาคีกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั่นเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดในเรื่องอีหม่าน 
 
มุสลิมส่วนมากมักจะเข้าใจว่า “ศรัทธาในอัลลอฮฺ” ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ในยุคของ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็มีคนหนึ่งชื่อ  อะดียฺ อิบนุ ฮาติม อัฏฏออี เป็นชาวคริสต์ที่เข้ารับอิสลาม แต่เขายังไม่เข้าใจความหมายของ “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” ว่าต้องยึดมั่นในศาสนาอิสลามอย่างไร ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงสอนเขาว่า
“การศรัทธาในอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั้นต้องไม่ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ ดังที่บรรดาชาวนะศอรอเชื่อฟังบรรดาบาทหลวงมากกว่าการที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และการที่เชื่อฟังบุคคลเหล่านั้น ไปพร้อมกับอัลลอฮฺ หรือมากกว่าอัลลอฮฺ ก็ถือเป็นการตั้งภาคีต่อพระองค์" 
อะดียฺ อิบนุ ฮาติม อัฏฏออี ก็บอกว่า “เราไม่ได้เคารพบูชาเขา เราเพียงแต่เชื่อฟังเขา”
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงถามอะดียฺและกล่าวว่า “พวกท่านคือชาวนะศอรอ เมื่อบาทหลวงสั่งใช้ หรือปราบปรามห้ามทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด พวกท่านจะปฏิบัติตามคำสั่งของเขาหรือเปล่า ถึงแม้ว่าคำสั่งสอนของเขานั้น จะขัดกับคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้า”
อะดียฺจึงตอบว่า “แน่นอนแล้ว เราต้องเชื่อฟังบรรดาบาทหลวง ผู้รู้ของเรา ถึงแม้ว่ามันจะขัดกับคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้า”
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงบอกว่า “การเชื่อฟังบาทหลวงถึงแม้ว่า มันขัดต่อหลักการของคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้า นั่นก็คือการเคารพบูชาสักการะ เช่นเดียวกัน” แสดงว่า การเชื่อฟังผู้อื่นนอกจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ถ้ามันขัดกับหลักการของศาสนา ถือว่าเป็นการตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
 
ถ้าเรารู้ว่า อัลลอฮฺสั่งอย่างนี้ แต่เรากลับฝ่าฝืนและไปเชื่อคนอื่นนอกเหนือจากพระองค์ ก็ถือเป็นการตั้งภาคี เพราะการเชื่อฟังก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของชิริก  เพราะการที่เราประกาศว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา” มันมีความหมายหนึ่งรวมอยู่ในคำประกาศเหล่านี้คือ “เราจะไม่เชื่อฟังผู้อื่น นอกจากอัลลอฮฺ เราจะไม่เคารพบูชา สักการะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดนอกจาก อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เราจะไม่ให้การเคารพภักดี นอกจากที่เราให้ต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา” นั่นเป็นสิ่งที่ชัดเจนในศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเงื่อนไขที่เราพูดถึงว่าเราต้องปฏิบัติ ต้องแสวงหาให้มีอยู่ใน “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ มุฮัมมะดุรเราะสุลลุลลอฮฺ” แสดงว่า ในกะลีมะฮฺของเรา ในชะฮาดะฮฺของเรา “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” หมายถึง ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่เราจะเชื่อฟัง ที่เราจะเคารพภักดีหรือเคารพบูชาสักการะ ที่จะอิบาดะฮฺอย่างถูกต้อง นอกจากองค์เดียว ก็คือพระผู้เป็นเจ้าของเรา อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา 
 
ในหะดีษบทหนึ่งท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมระบุว่า พระนามของอัลลอฮฺนั้นมี 99 พระนาม บุคคลที่สามารถศึกษาและแสวงหาพระนามดังกล่าว จะเข้าสวรรค์อย่างแน่นอน แต่มีหะดีษหลายบท ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็แจ้งว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มีหลายพระนามโดยไม่จำกัด อย่างเช่นในสำนวนดุอาอ์ (คำวิงวอน) ที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมใช้ ก็กล่าวถึงพระนามหลายพระนามของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในอัลกุรอานหรือสุนนะฮฺของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ จะพูดถึงสิ่งที่เราต้องมีความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ความหมายของพระนามต่างๆนั้น จะมีผลกระทบมากมายในอีหม่าน ที่เราต้องการสร้างในจิตใจของเรา สู่อีหม่านที่มั่นคงในตอนหน้า เราจะพูดกันต่อในความหมายของบรรดาพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นการศึกษาที่จะสร้างอีหม่านที่มั่นคงต่อไป อินชาอัลลอฮฺ
 
 

เรียบเรียงจาก สู่อีมานที่มั่นคง ครั้งที่ 6, ชัยคฺริฎอ อะหมัด สมะดี
ผู้เรียบเรียง อบูซัยฟุลลอฮฺ-อุมมุซัยฟุลลอฮฺ