อย่าลืมว่าชีอะฮฺเป็นใคร

Submitted by dp6admin on Fri, 03/04/2009 - 20:30

เป็นการผิดอย่างยิ่งที่คิดว่าความขัดแย้งระหว่างซุนนีกับชีอะฮฺเป็นความขัดแย้งทางด้านรายละเอียดปลีกย่อย(ของศาสนา) และเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่มีผู้กล่าวว่าเราควรยกยอดหรือเลื่อนวาระความขัดแย้งระหว่างซุนนีกับชีอะฮฺออกไปก่อน แท้จริงแล้วความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายนี้เป็นความขัดแย้งในด้านอะกีดะฮฺและหลักการพื้นฐานสำคัญของศาสนา ชาวชีอะฮฺอ้างว่าพวกเขามีอัลกุรอานอื่นที่ไม่ใช่อัลกุรอานของชาวซุนนี ? ชีอะฮฺไม่ยอมรับและไม่ให้ความเชื่อถือหะดีษที่รายงานโดยชาวซุนนีในหนังสือหะดีษต่างๆเช่น หะดีษบุคอรียฺ มุสลิม หรือท่านอื่นๆ หลักศรัทธา(รุกุนอีมาน)ของชีอะฮฺคล้ายคลึงกับกลุ่มมุอฺตะซิละฮฺ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ขัดกับหลักศรัทธาของอะหฺลุซซุนนะฮฺในเนื้อหาโดยรวมและในรายละเอียด



ชีอะฮฺเชื่อว่าอัลกุรอานนั้นเป็นมัคลูก(สิ่งถูกสร้าง)มิใช่พระดำรัสของอัลลอฮฺแต่อย่างใด พวกเขายังปฎิเสธคุณลักษณะต่างๆ(ศิฟัต)ของอัลลอฮฺเหมือนที่กลุ่มมุอฺตะซิละหฺปฎิเสธ ความเชื่อของพวกเขาที่เกี่ยวกับเรื่องการกำหนดสภาวะ(กอฏออฺกอดัร)ก็เหมือนกับความเชื่อของกลุ่มมุอฺตะซิละหฺเช่นเดียวกันที่กล่าวว่ามนุษย์นั้นเป็นผู้สร้างความชั่วร้ายแต่ไม่ใช่อัลลอฮฺ



ส่วนความขัดแย้งทางด้านประวัติศาสตร์และการปกครองระหว่างซุนนีกับชีอะฮฺก็นับเป็นประเด็นความขัดแย้งที่เห็นได้อย่างชัดเจน กล่าวคือชีอะฮฺยังคงรื้อฟื้นเหตุการณ์ความยากลำบากและเรื่องราวความทุกข์ทรมานที่อะหฺลุลบัยตฺ(ครอบครัวและเครือญาติท่านนบี)ได้ประสบในอดีต และพวกเขาถือว่าการรื้อฟื้นเรื่องเหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ของชีอะฮฺ ซึ่งในวันอาชูรออฺ(วันที่สิบมุฮัรรอม)ชีอะฮฺทั่วโลกจะรื้อฟื้นเหตุการณ์การเสียชีวิตของอัลหุซัยนฺหลานชายท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พวกเขาจะรำลึกและรื้อฟื้นเรื่องราวความขัดแย้งต่างๆระหว่างชีอะฮฺและกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะชาวซุนนีที่พวกเขาตั้งชื่อให้ว่าเป็นพวกอันนาศิบะฮฺ



กลุ่มฮิซบุลลอฮฺก็เช่นเดียวกัน พวกเขาอยู่ในแนวทางของชีอะฮฺที่เราได้กล่าวมาข้างต้น หัวหน้าของกลุ่มที่ชื่อว่า หะซัน นัศรุลลอฮฺ ก็เคยเข้าร่วมกับกลุ่มชีอะฮฺอีกกลุ่มที่ชื่อว่ากลุ่มอมัล (???) ในการเข่นฆ่าชาวซุนนีในเมืองเบรุตประเทศเลบานอน คนผู้นี้เช่นกันที่ได้ประณามและด่าท่านมุอาวิยะหฺ บินอบีซุฟยาน (เป็นศอฮาบะฮฺท่านนบีและเป็นผู้หนึ่งที่ท่านนบีมอบหมายให้บันทึกอัลกุรอาน)อย่างเปิดเผยในสังคมเลบานอนโดยมิได้ใส่ใจความรู้สึกของชาวซุนนีแม้แต่น้อย กลุ่มฮิซบุลลอฮฺอีกเช่นกันที่ได้เข้าไปครอบครองมัสยิดต่างๆของชาวซุนนีทางภาคใต้ของเลบานอนโดยไม่คำนึงถึงเสียงเรียกร้องของผู้นำชาวซุนนีแต่อย่างใด

หนังสือต่างๆของชาวชีอะฮฺได้ระบุอย่างชัดเจนในเรื่องการเป็นกาฟิร(การปฏิเสธศรัทธา)ของชาวซุนนีหรือชาวอันนาศิบะหฮฺ (คือพวกที่ถูกชีอะฮฺกล่าวหาว่าไม่ยอมรับการเป็นผู้นำของท่านอะลี โดยอ้างว่าท่านอะลีสมควรที่จะเป็นคอลีฟะฮฺมากกว่าท่านอบูบักรฺ ท่านอุมัรและท่านอุษมาน ซึ่งพวกที่ถูกชีอะฮฺกล่าวหาอย่างนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชาวซุนนีนั่นเอง) หนังสือบางเล่มของชีอะฮฺเช่น อัลกาฟียฺของอัลกุลลัยนียฺ ยังได้กล่าวหาท่านหญิงอาอิชะฮฺ(ภรรยาท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่าได้กระทำสิ่งลามก(การผิดประเวณี) และโองการในซูเราะฮฺอันนูรนั้นอัลลอฮฺก็มิได้ประทานลงมาเพื่อประกาศความบริสุทธิ์ของท่านหญิงอาอิชะฮฺแต่อย่างใด ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ตรงข้ามกับที่ชาวซุนนีเชื่อว่าท่านหญิงอาอิชะฮฺถูกใส่ร้ายโดยกลุ่มมุนาฟิกีนในมะดีนะฮฺว่านางได้ทำซินา จนอัลลอฮฺตะอาลาได้ทรงประทานโองการดังกล่าวมาเพื่อประกาศความบริสุทธิ์ของท่านหญิง

 

นอกจากนี้ชาวชีอะฮฺยังถือว่าลัทธิของพวกเขาและบรรดาผู้นำของพวกเขาคือแบบฉบับการปกครองของอิสลาม ดังนั้นจะเห็นได้ว่ากลุ่มฮิซบุลลอฮฺยังคงกำหนดในระเบียบข้อบังคับของกลุ่มว่าต้องเคารพและปฏิบัติตามแนวคิดวิลายะตุลฟะกีหฺ ที่คิดค้นโดยโคมัยนีและถูกนำไปใช้ในอิหร่าน



ชาวชีอะฮฺทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกยังคงประกาศความเคารพภักดีต่อโคมัยนีผู้ซึ่งเห็นชาวซุนนีเป็นศัตรู จนถึงขั้นที่ว่าบรรดาชาวยิวและคริสต์ในอิหร่านได้รับสิทธิในสภาอิหร่าน ในขณะที่ชาวซุนนีไม่มีสิทธิและตำแหน่งใดๆในสภาดังกล่าว



นอกจากนี้ชาวซุนนีในอิหร่านยังถูกข่มเหง ถูกทรมาน และถูกอธรรมในหลายๆรูปแบบ มัสยิดของพวกเขาถูกทำลายหรือถูกยึดโดยชาวชีอะฮฺ ถูกปิดกั้นมิให้เผยแผ่หลักการของอะหฺลุซซุนนะฮฺ ถูกห้ามมิให้มีโรงเรียนของชาวซุนนี และล่าสุดทางการอิหร่านได้จำคุกชาวซุนนีกลุ่มหนึ่งในมณฑลอัลอะหฺวาซด้วยข้อหาครอบครองหนังสือซุนนีแนวสะลัฟ (ท่านสามารถค้นหาและตรวจสอบข้อมูลข้างต้นจากเว็บไซต์ของฝ่ายค้านชาวอาหรับและซุนนีที่ถูกเนรเทศและมีกระบอกเสียงกล่าวถึงการข่มเหงของรัฐบาลอิหร่าน ซึ่งมีหลายเว็บไซต์ที่สามารถค้นหาทางอินเตอร์เน็ตได้ สำหรับนักวิชาการที่สนใจและจริงใจได้ข้อมูลดังกล่าวสามารถติดต่อผมได้โดยตรงหรือติดต่อบรรณาธิการของวารสารร่มเงาอิสลาม)



ชาวชีอะฮฺทั้งในอิหร่าน เลบานอน รวมทั้งประเทศไทย ไม่เคยลืมความขัดแย้งระหว่างซุนนีและชีอะฮฺที่เกิดขึ้นมาในอดีต พวกเขายังคงรื้อฟื้นและเน้นย้ำถึงความขัดแย้งด้านความเชื่อและหลักศรัทธา หัวหน้าชาวชีอะฮฺในเมืองไทยยังเคยประณามท่านอุมัร บิน อัลคอฎฎอบ(ซึ่งได้ถูกบันทึกไว้ในเทปดังม้วนหนึ่ง) โดยไม่สนใจความรู้สึกของชาวซุนนี แต่ทำไมเล่าจึงเรียกร้องให้ชาวซุนนีลืมความขัดแย้งทั้งหมด ทำไมเล่าจึงเรียกร้องให้เลื่อนหรือยกยอดความขัดแย้งนี้ไป



ในปัจจุบันนี้มีคนมากมายที่ถูกหลอกในเรื่องของชีอะฮฺ พวกเขานึกว่าหิญาบที่สตรีชาวชีอะฮฺสวม เคราที่บรรดาผู้นำชีอะฮฺไว้ เครื่องแบบที่พวกเขาใส่ นั่นล่ะคือสิ่งที่เป็นตัวแทนของอิสลามและมุสลิมีน โดยที่ไม่รู้ว่าสังคมชีอะฮฺในหลายๆเมืองในอิหร่านที่ชาวชีอะฮฺอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากได้กลายเป็นสังคมที่ขาดซึ่งจริยธรรม โรคเอดส์ได้แพร่กระจายยังเมืองเหล่านี้จนถึงขั้นที่รัฐบาลต้องประกาศเป็นเขตโรคระบาด ทั้งนี้เพราะการแต่งงานแบบมุตอะฮฺได้แพร่หลายในเมืองเหล่านี้ ซึ่งเป็นการแต่งงานที่ไม่ต่างอะไรกับการซินา แม้แต่ในมหาวิทยาลัยรามคำแหงในประเทศไทยซึ่งมีนักศึกษาที่เป็นชีอะฮฺทำการเผยแพร่การแต่งงานแบบมุตอะฮฺจนเป็นที่แพร่หลายในหมู่มุสลิมีน จนทำให้การซินาถูกปฎิบัติอย่างมากมายในหมู่นักศึกษา ทั้งหมดนี้มิใช่เป็นเพราะถูกหลอกลวงจากชาวชีอะฮฺและหน้ากากภายนอกของพวกเขาดอกหรือ?



เรายังมีอะไรท ี่ต้องคิดในแง่ดีอีกหรือต่อบรรดาผู้ที่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้องของอิสลามและอุปโลกน์เสี้ยมสอนความเชื่อผิดๆแก่ประชาชาติ และก่อไฟสงคราม สร้างความสับสนวุ่นวาย ในทุกสถานที่ทุกเวลา??



นี่ไง! สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮิซบุลลอฮฺได้สิ้นสุดลง! มันเกิดอะไรขึ้น? แล้วอย่างไรต่อไปเล่า? แล้วมันได้อะไรขึ้นมาหรือ?(ปาเลสไตน์ถูกปลดปล่อยหรือ!) ผลลัพธ์คือฮิซบุลลอฮฺจะได้รับการชมเชยพร้อมกับการชดเชย อิสราเอลจะได้รับการชดเชยเช่นกัน ในคุตบะฮฺครั้งแรกหลังจากสงครามสิ้นสุดลง ฮาชิมี รัฟซันญานียฺ ซึ่งเป็นผู้นำคนหนึ่งของอิหร่านได้ขู่และเตือนอเมริกาให้ระวังและรับบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นต่อชาวอิสราเอลด้วยน้ำมือของฮิซบุลลอฮฺ(อันแสดงถึงความสัมพันธ์ของอิหร่านกับฮิซบุลลอฮฺ) แต่เหนือสิ่งอื่นใด สงครามครั้งนี้ได้ทำให้บทบาทและอำนาจของชีอะฮฺโดดเด่นขึ้นมาในสายตาของชาวมุสลิมหรือแม้แต่ชาวโลก จนถึงขั้นที่มีบรรดาผู้รู้และดาอียฺในเมืองไทยที่ถูกหลอกด้วยภาพพจน์ภายนอกของชีอะฮฺได้เรียกร้องเชิญชวนให้สนับสนุนฮิซบุลลอฮฺ! สิ่งนี้แหละที่เป็นกำไรและเป็นผลประโยชน์ที่ชีอะฮฺได้คาดหวังและพวกเขาก็ได้มันมาตามที่ได้วางแผนไว้ แล้วชาวซุนนีเล่าได้อะไรบ้าง?? (นอกจากบ้านเรือนถูกทำลาย สมาชิกในครอบครัวถูกฆ่า เด็กและสตรีถูกระเบิด ดังที่ปรากฏในหนังสือเปิดผนึกของผู้นำซุนนีทางภาคใต้ของเลบานอน ซึ่งได้ประกาศการเลือกปฏิบัติของฮิซบุลลอฮฺในการชดเชยแก่ครอบครัวที่ได้รับความเสียหาย (จากเงินช่วยเหลือที่ได้รับจากโลกมุสลิม) และข้อมูลล่าสุด ฮิซบุลลอฮฺได้ตั้งเงื่อนไขต่อครอบครัวผู้สูญเสียที่จะรับเงินชดเชยว่าจะต้องเปลี่ยนลัทธิเป็นชีอะฮฺจึงจะได้รับการชดเชย)



สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่คือชาวซุนนีที่อิรักและอิหร่านยังคงถูกฆ่าอย่างต่อเนื่องโดยน้ำมือของชีอะฮฺ ชีอะฮฺยังคงเผยแพร่ลัทธิความเชื่อของพวกเขา ยังคงนำแนวคิดโคมัยนีไปเผยแพร่ทั่วทุกมุมโลก(โดยเฉพาะประเทศที่มีชาวซุนนีอยู่เป็นจำนวนมาก) อย่างไม่ลังเล สะทกสะท้านหรือกลัวอะไรทั้งสิ้น!!



แท้จริงมันคือการเผชิญหน้าระหว่างสัจธรรมที่บรรดาศอฮาบะฮฺของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมายังเรา กับความเท็จที่ถูกนำมาโดยบรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับในศอฮาบะฮฺและใส่ร้ายว่าเป็นกาฟิร ขอให้เราจงเลือกระหว่างสองฝ่ายนี้ในอันที่จะสนับสนุนช่วยเหลือ แท้จริงการพิพากษาเป็นสิทธิของอัลลอฮฺทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต?





 


วันที่ลงบทความ : 31 ส.ค. 49

ที่มา : วารสารร่มเงาอิสลาม กันยายน 2549, เชคริฎอ อะหมัด สมะดี