ประเพณีของชาวมักกะฮฺโดยเฉพาะตระกูลที่มีชื่อเสียงจะส่งเด็กไปเลี้ยงตามชนบทในทะเลทราย ( ในทะเลทรายมีอากาศบริสุทธิ์และอาหารอุดมสมบูรณ์ กินนมแพะ นมแกะ นมอูฐ กินเนื้อบริสุทธิ์ กินพืชที่สมบูรณ์ แต่มักกะฮฺเป็นเมืองที่เจริญแล้วและเป็นลำธารระหว่างภูเขาสองลูกใหญ่ อากาศไม่ค่อยดี) ท่านนะบีอยู่ในชนบทกับแม่นมคือ นางหะลีมะฮฺ อัซซะอฺดียะฮฺ ที่เผ่าบะนีซะอฺดฺ (นางหะลีมะฮฺเป็นแม่นมรับจ้าง เป็นธรรมเนียมที่ชาวชนบทมักรับจ้างเป็นแม่นม) ซึ่งอาหรับสมัยนั้นอาศัยอยู่ในเต็นท์ ไม่มีที่พักถาวร เห็นฝนตกมีน้ำมีหญ้าที่ไหนก็ไปกางเต็นท์ที่นั่น อยู่เดือนสองเดือนแห้งแล้งก็ย้ายไปที่อื่น
มีรายงานเศาะฮี้ฮฺ(ทั้งจากบุคอรียฺและมุสลิม)ถึงเหตุการณ์หนึ่งซึ่งท่านนะบีได้เล่าให้เศาะฮาบะฮฺหลายคนฟัง รวมทั้งท่านหญิงอาอิชะฮฺด้วยว่า เมื่ออายุประมาณ 2-3 ขวบ ขณะที่กำลังเล่นกับเด็กอื่นๆ มีชายสองคนมาหาและจูงท่านนะบีออกไปจากเผ่าบะนีซะอฺดฺ แล้วสั่งให้ท่านนะบีนอน หลังจากนั้นได้ผ่าอกของท่านนะบีเอาหัวใจออกมา แล้วทิ้งเนื้อก้อนหนึ่งจากหัวใจไป ชายคนหนึ่งในสองคนนั้นบอกว่า นี่คือส่วนของชัยฏอนที่ต้องการจากท่าน หมายถึงต่อไปนี้ชัยฏอนไม่มีวิถีทางที่จะมายุแหย่ท่านนะบีได้อีกแล้ว นี่เป็นการดูแลพิเศษจากอัลลอฮฺต่อท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
นางหะลีมะฮฺวิ่งไปหาท่านนะบีหลังจากที่มีเด็กมาบอก ก็พบท่านนะบีเพิ่งกลับมาจากเหตุการณ์นี้ (มีบางรายงานระบุว่ารอยที่ถูกผ่ายังเห็นชัดอยู่) นางหะลีมะฮฺกังวลว่าถ้าปล่อยท่านนะบีอยู่ที่นี่ไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยของท่านจึงนำไปส่งให้มารดา ท่านนบีจึงอยู่กับมารดาจนกระทั่งอายุประมาณ 8 ขวบก็ได้ออกเดินทางไปกับมารดาเพื่อเยี่ยมบรรดาน้าๆ ที่เมืองมะดีนะฮฺ และขากลับมารดาของท่านก็เสียชีวิต
ท่านนะบีกำพร้าพ่อก่อนกำเนิด และเมื่ออายุ 8 ขวบมารดาเสียชีวิต ก็กำพร้าทั้งพ่อและแม่ นี่คือชีวิตที่ลำบาก และเป็นประเด็นที่น่าวิเคราะห์ เพราะมีองค์ประกอบหลายอย่างที่สร้างความยากลำบากในชีวิตของท่าน เมื่อกำพร้าทั้งพ่อและแม่แล้วคนที่จะดูแลท่านคือคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่พ่อและแม่ คนแรกที่รับท่านนะบีมาดูแลคือปู่ของท่าน อับดุลมุฏฏอลิบ ซึ่งรักท่านนะบีมุฮัมมัดมากที่สุด ก่อนเสียชีวิตได้สั่งเสียไว้กับอบูฏอลิบว่า ห้ามทิ้งหลานฉันคนนี้นะ ต้องช่วยเหลือเขาเต็มที่ และมีเหตุการณ์หนึ่งสมัยที่อับดุลมุฏฏอลิบยังมีชีวิตอยู่ที่บ่งชี้ถึงความรักระหว่างปู่กับหลาน คือเมื่ออับดุลมุฏฏอลิบจะละหมาดหน้ากะอฺบะฮฺ เขาจะปูพรมแล้วละหมาดบนพรมผืนนั้น ลูกหลานเป็นสิบๆ คนไม่มีใครกล้าแตะพรมผืนนี้นอกจากมุฮัมมัด หลานคนอื่นมาแตะก็ถูกไล่เพราะอับดุลมุฏฏอลิบเป็นหัวหน้าเผ่ากุเรชที่มีเกียรติ แต่เมื่อมุฮัมมัดมานั่ง คนจะมาไล่ ปู่บอกไม่ต้อง ปล่อยเขา
สาเหตุที่อับดุลมุฏฏอลิบรักท่านนะบีเพราะเขาเคยบนบาน (นะซัร) ไว้ว่าถ้าหากมีลูกสิบคนจะเชือดคนหนึ่งถวายให้อัลลอฮฺ (เป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากประเพณีอาหรับที่เริ่มมีการบิดเบือน) ซึ่งลูกคนที่สิบคือ อับดุลลอฮฺ บิดาของท่านนะบี ชาวอาหรับเคร่งครัดมากในเรื่องนะซัร อับดุลมุฏฏอลิบจึงนะซัรอีกว่าถ้าจับฉลาก (ใช้ลูกธนูเรียก อัลอัซลาม แต่ละดอกเขียน “เอา” และ “ไม่เอา” ให้จับฉลาก) แล้วไม่ต้องเชือดลูกชาย ก็จะเชือดอูฐสิบตัว ปรากฏว่าครั้งแรกจับสลากได้ว่าให้เชือด จึงเพิ่มนะซัรเป็นยี่สิบตัว เมื่อจับฉลากอีกก็ได้ว่าให้เชือด จึงเพิ่มนะซัรขึ้นเรื่อย ๆ ทีละสิบตัว จนสุดท้ายนะซัรว่าถ้าจับได้ว่าไม่ต้องเชือดลูกชายก็จะเชือดอูฐร้อยตัว ก็ปรากฏว่าจับฉลากได้ไม่ให้เชือด
เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้กันของชาวอาหรับ และมีหะดีษบทหนึ่งที่แม้จะอ่อนแอในด้านสายสืบ(อิสนาด) แต่มีที่มาคือ ท่านนะบีเคยพูดว่า “ฉันเป็นลูกของสองคนที่ประสบเหตุการณ์ที่อาจถูกเชือด” (อัซซะบีฮัยนฺ) หมายถึง ท่านนะบีอิสมาอีล และอับดุลลอฮฺ บิดาของท่าน
ท่านนะบีอิบรอฮีมฝันว่าอัลลอฮฺสั่งให้เชือดนะบีอิสมาอีล ตอนอายุ 8 ขวบ (การฝันของบรรดานะบีและร่อซูลเป็นสัจธรรม) และเมื่อปรึกษากับนบีอิสมาอีลผู้เป็นลูกชาย อิสมาอีลก็บอกว่า “โอ้บิดาของฉัน ท่านปฏิบัติตามคำสั่งเถิด แล้วจะเห็นว่าฉันอยู่ในหมู่ผู้รักและยินดีในการช่วยให้ท่านปฏิบัติคำบัญชาของอัลลอฮฺ” อิบรอฮีมจึงนำอิสมาอีลไปเชือด นบีอิบรอฮีมสั่งให้อิสมาอีลคว่ำหน้า เพราะถ้าเห็นหน้าแล้วจะไม่กล้าเชือด
فَلَمَّا أَسْلَمَا وَتَلَّهُ لِلْجَبِينِ
“ครั้นเมื่อทั้งสอง(พ่อและลูก)ได้ยอมมอบตน(แด่อัลลอฮฺ) อิบรอฮีมได้ให้อีสมาอีล คว่ำหน้าลงกับพื้น” (ซูเราะฮฺ อัศศ็อฟฟาต 37:103)
เมื่อทั้งสองน้อมให้แก่คำบัญชาของอัลลอฮฺแล้ว อัลลอฮฺบอกให้ยกเลิก เราได้ทดสอบอีหม่านของอิบรอฮีมแล้ว (เพราะนะบีอิบรอฮีมอายุ 80 ปียังไม่มีลูก เป็นนะบีเผยแผ่ศาสนาของอัลลอฮฺ ในหัวใจไม่มีใครนอกจากอัลลอฮฺ แต่เมื่อมีลูกตอนอายุ 80 ปีแล้ว ความรักต่อลูกจะมาแข่งกับความรักต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺจึงต้องทดสอบอีหม่านของอิบรอฮีมว่ารักใครมากกว่า) อัลลอฮฺทรงนำแพะตัวหนึ่งจากสวรรค์มาให้เชือดแทน
وَنَادَيْنَاهُ أَن يَا إِبْرَاهِيمُ ﴿١٠٤﴾ قَدْ صَدَّقْتَ الرُّؤْيَا ۚ إِنَّا كَذَٰلِكَ نَجْزِي الْمُحْسِنِينَ ﴿١٠٥﴾ إِنَّ هَـٰذَا لَهُوَ الْبَلَاءُ الْمُبِينُ ﴿١٠٦﴾ وَفَدَيْنَاهُ بِذِبْحٍ عَظِيمٍ ﴿١٠٧﴾ وَتَرَكْنَا عَلَيْهِ فِي الْآخِرِينَ ﴿١٠٨﴾
“และเราได้เรียกเขาว่า “โอ้อิบรอฮีมเอ๋ย! * แน่นอน เจ้าได้ปฏิบัติถูกต้องตามฝันแล้ว” แท้จริง เช่นนั้นแหละเราจะตอบแทนผู้กระทำความดีทั้งหลาย * แท้จริง นั่นคือ การทดสอบที่ชัดแจ้งแน่นอน * และเราได้ให้ค่าไถ่ตัวเขาด้วยสัตว์เชือดพลีอันใหญ่หลวง” (ซูเราะฮฺ อัศศ็อฟฟาต 37:104-7)
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่มินา จึงเป็นสถานที่เชือดกุรบานของผู้ประกอบพิธีฮัจญฺ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวประวัติของท่านนะบีอิบรอฮีม และมีที่หนึ่งเรียกว่า มะญัรรุลกับชฺ (مجر الكبش) หมายถึง ที่ลากกับชฺ(แพะตัวผู้) คือสถานที่ที่ท่านนะบีอิบรอฮีมพานบีอิสมาอีลไปเพื่อจะเชือด และตอนที่อิบรอฮีมจะเชือดอิสมาอีลแล้วมีชัยฏอนมากระซิบกระซาบไม่ให้เชือด ท่านก็ขว้างหินไล่ชัยฏอน 3 ครั้ง คนทั่วไปก็เข้าใจว่าที่ขว้างเสาหินที่มินาเพื่อไล่ชัยฏอน เพราะการปฏิบัติศาสนกิจเกี่ยวกับการทำฮัจญฺส่วนมากมาจากศาสนาของท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม
ชีวิตของท่านนะบีเศร้าโศกมาก แม้กระทั่งช่วงที่ท่านประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ศาสนาแล้ว ท่านนะบีก็ยังเสียใจที่ไม่มีโอกาสจูงมือบิดามารดาของท่านสู่สัจธรรม จนเสียชีวิตในขณะที่ยังเป็นกาเฟร นั่นคืออิจมาอฺ (มติเอกฉันท์) ของอุละมาอฺทั้งปวง และมีหลักฐานมากมายยืนยัน หลักฐานหนึ่งบันทึกโดยอิหม่ามมุสลิมคือ มีชาวอาหรับคนหนึ่งมาถามท่านนะบีในทำนองยุแหย่และอยากให้ท่านนนะบีตอบไม่ได้ ว่า “พ่อฉันอยู่ที่ไหน” นะบีตอบว่า “พ่อฉันและพ่อท่านอยู่นรก” อันเป็นหลักฐานอ้างอิงจากท่านนะบีว่าบิดาของท่านเสียชีวิตขณะที่ไม่ใช่มุสลิม ลุงของท่านคืออบูฏอลิบก็เช่นเดียวกัน
มีครั้งหนึ่งท่านนะบีเดินทางจากเมืองมะดีนะฮฺและแวะไปที่หลุมศพมารดาของท่าน ท่านนะบีจึงขออนุญาตอัลลอฮฺเพื่อขออภัยโทษให้แก่มารดา (หะดีษบันทึกโดยอิมามมุสลิม)
"استأذنت ربي أن أستغفر لأمي، فلم يأذن لي، واستأذنته أن أزورها فأذن لي"
مَا كَانَ لِلنَّبِيِّ وَالَّذِينَ آمَنُوا أَن يَسْتَغْفِرُوا لِلْمُشْرِكِينَ وَلَوْ كَانُوا أُولِي قُرْبَىٰ مِن بَعْدِ مَا تَبَيَّنَ لَهُمْ أَنَّهُمْ أَصْحَابُ الْجَحِيمِ
ไม่บังควรแก่นะบีและบรรดาผู้ศรัทธาที่จะขออภัยโทษให้แก่พวกตั้งภาคี และแม้ว่าพวกเขาจะเป็นญาติใกล้ชิดกันก็ตาม ทั้งนี้หลังจากเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว แน่นอนพวกเหล่านั้นเป็นชาวนรก” [อัตเตาบะฮฺ 9:113]
แสดงว่าท่านนะบีเสียใจมากจึงขออนุญาตอัลลอฮฺไปเยี่ยมหลุมศพมารดาท่าน อัลลอฮฺอนุญาต ดังนั้นการที่มุสลิมสามารถไปเยี่ยมกุบูรคนกาฟิรนั้นทำได้ แต่ขอดุอาอฺให้ไม่ได้และเมื่อเราไปเยี่ยมกุบูรก็ให้รำลึกว่าเขากำลังประสบการลงโทษอย่างไร เป็นการเพิ่มอีหม่านในเรื่องวันกิยามะฮฺ
ในชีวประวัติของท่านนบีมีบางรายงานที่ไม่มีที่ไปที่มาหรือเป็นหะดีษเมาฎัวอฺที่บางกลุ่มชอบหยิบยกมา เช่น พวกซุนนะฮฺว่าบิดามารดาท่านนะบีเสียชีวิตเป็นกาเฟรถือว่าไม่ให้เกียรติท่านนะบี ทั้งที่เรื่องนี้มาจากรายงานหะดีษของท่านนะบีและอุละมาอฺก็มีมติเอกฉันท์ แต่พวกนี้แอบอ้างว่ามีหะดีษบทหนึ่งที่ว่า อัลลอฮฺทรงให้บิดามารดาของท่านนะบีฟื้นคืนชีพ เมื่อท่านนะบีเสนออิสลาม ทั้งสองก็รับอิสลามแล้วตายไป แบบนี้รักมากจนเลยขอบเขต ศาสนาไม่เห็นด้วย (บางกลุ่มอ้างความรักท่านนะบี จนทำสิ่งที่ขัดกับเจตนารมณ์ของท่าน เช่นการฉลองเมาลิดนะบี ทั้งที่นะบีไม่ได้ใช้ และปัจจุบันนี้เมาลิดกลายเป็นเทศกาลที่ต่อต้านอิสลามไปแล้ว เป็นเทศกาลอาหาร แต่งตัวผิดหลักการศาสนา ดนตรี มีแต่สิ่งที่ค้านกับหลักการศาสนา)
เป็นเรื่องที่น่าวิเคราะห์ว่าท่านนะบีเกิดในสภาพที่ยากลำบาก แล้วบุคลิกภาพของท่านจะเป็นอย่างไร? เป็นเจตนารมณ์ของอัลลอฮฺที่ให้ท่านนะบีเกิดในสภาพนี้ เป็นเด็กกำพร้า และเมื่อไปอยู่กับปู่ได้ไม่กี่เดือนปู่ก็เสียชีวิต อบูฏอลิบ(ซึ่งเป็นลุงของท่านนะบี)จึงมารับผิดชอบดูแลท่าน ตอนนั้นอบูฏอลิบไม่ใช่คนร่ำรวย ยากจน ลูกหลานเยอะ จนเมื่อท่านนะบีแต่งงานกับนางเคาะดีญะฮฺตอนอายุ 25 ปี อบูฏอลิบก็มีลูกชายคนสุดท้องชื่ออะลี อบูฏอลิบมีลูกเกือบสิบคน ท่านนะบีจึงนำอะลีไปเลี้ยงที่บ้านของท่านเพื่อช่วยอบูฏอลิบ ในช่วงนั้นอบูฏอลิบมาช่วยท่านนะบีจึงไม่ถือว่าเป็นคนที่อำนวยความสะดวกให้ท่านนะบีมากนัก
หลักฐานที่บ่งชี้ว่าท่านนะบีประสบปัญหามากมายในชีวิตคือ ท่านนะบีต้องทำมาหากินเองตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ท่านนะบีกล่าวว่า
ما من نبي إلا وقد رعى الغنم، قالوا: وأنت يا رسول الله؟ قال: «نعم! كنت أرعاها على قراريط لأهل مكة
ท่านนะบีต้องเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะในขณะที่ตระกูลของท่านเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองมักกะฮฺ เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงเตรียมไว้ เพราะกุเรชถือเป็นเผ่าที่มีเกียรติโดยเฉพาะตระกูลบะนูฮาชิม (กุเรชประกอบด้วยหลายตระกูล ซึ่งบะนูฮาชิมถือว่ามีอำนาจมากโดยเฉพาะเรื่องศาสนา เพราะปู่ของอับดุลมุฏฏอลิบชื่อ กุศ็อยุบนุกิล้าบ ที่อยู่ในเผ่านี้เป็นคนแรกที่จัดระเบียบสังคม ก่อนหน้านั้นกุเรชเป็นเผ่าเร่ร่อน ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ชาวกุเรชจึงยกย่องบะนูฮาชิมจนกระทั่งทุกคนที่เกิดในตระกูลนี้ถือเป็นบุคคลสำคัญและมีศักดิ์ศรี) ทุกคนรู้ว่าท่านนะบีเป็นคนที่มีศักดิ์ศรี ขณะเดียวกันท่านก็เป็นคนยากจน และเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีใครช่วยเหลืออุดหนุน (สังเกตเวลาที่เราลำบาก ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ เราจะยกมือขอดุอาอฺ)
ก่อนได้รับวะฮียฺ ท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้สืบทอดศาสนาหะนีฟียะฮฺของนะบีอิบรอฮีม (จนถึงยุคท่านนะบียังมีหลายคนที่ยึดในศาสนาหะนีฟียะฮฺของท่านนะบีอิบรอฮีม เรียกว่า อัลอะหฺนาฟ เช่น ท่านอบูบักร อัศศิดดีก ก่อนอิสลามไม่เคยกราบรูปเจว็ด ไม่เคยดื่มสุรา ท่านอะลี อิบนุอะบีฏอลิบ และมีบางคนไปเข้าศาสนาคริสต์ที่ยังไม่ถูกบิดเบือน) ท่านมักอยู่คนเดียว มีความสงบ มีปัญญาสูง มีมารยาท ถ่อมตนต่อผู้อื่น เพราะท่านเป็นเด็กกำพร้าและยากจน จึงไม่มีอะไรที่ทำให้ท่านตะกับบุร(เย่อหยิ่ง)หรือต้องการสร้างอำนาจบารมี ยากจนทั้งก่อนและหลังเป็นนะบี ตรงนี้เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺให้ท่านนะบีตระหนักถึงบุญคุณอันมหาศาลและให้มีความหนักแน่นในการพึ่งอัลลอฮฺ ในซูเราะฮฺอัฎฎุฮา อัลลอฮฺได้แสดงบุญคุณของพระองค์ต่อท่านนะบี
وَوَجَدَكَ ضَالًّا فَهَدَىٰ
“และทรงพบเจ้ามีศาสนาที่ไม่ชัดเจน(ฎอลลัน) แล้วทรงชี้นำทาง” [อัฎฎุฮา 93:7]
เมื่อก่อนท่านนะบียึดศาสนาของท่านนะบีอิบรอฮีม ซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่ชัดเจน แล้วอัลลอฮฺทรงนำฮิดายะฮฺให้แก่ท่าน “ฎอล” ตรงนี้แปลว่าหลงผิดไม่ได้ นะบีไม่เคยหลงผิด ท่านไม่เคยไหว้รูปเจว็ด ทำซินา หรือดื่มสุรา ชีวิตของท่านถูกรักษาจากอัลลอฮฺในทุกขั้นตอน มีรายงานบันทึกในตำราประวัติศาสตร์ของท่านนะบีที่เชื่อถือได้ว่า ครั้งที่ท่านนะบียังอยู่ในวัยหนุ่ม ท่านกลับมาจากการดูแลแพะแกะข้างนอก กลางคืนจะเข้าบ้าน เข้าเมืองมักกะฮฺ พบกับวัยรุ่นชวนไปฟังดนตรี นะบีก็ตามไป แต่เมื่อท่านนะบีถึงบ้านที่มีดนตรีแล้ว อัลลอฮฺทำให้ท่านหลับไปจนถึงตอนเช้า พอแดดร้อนก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครั้งแรกก็อาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่อีกคืนหนึ่ง กลับเข้ามาได้ยินเสียงดนตรี จะไปฟัง อัลลอฮฺก็ทำให้นอนหลับไปอีก อันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการรักษาจากอัลลอฮฺ ท่านนะบีจึงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรทำ ไม่ควรไปยุ่ง นี่คือความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ (ถ้าหากอัลลอฮฺทรงช่วยเหลือเราเหมือนที่ช่วยเหลือท่านนะบี ดึงให้เราห่างจากความชั่ว แสดงว่าอัลลอฮฺรักเรามาก แต่หากอยู่ในสภาวะที่ชัยฏอนกำลังยุแหย่ ให้เรารู้ว่าอัลลอฮฺกำลังทดสอบจิตใจของเรา บางคนอัลลอฮฺช่วย เช่น ไม่ชอบฟังเพลง ฟังแล้วหนวกหู แต่คนที่ยังปรับชีวิตไม่ได้ เวลาฟังกุรอานแล้วบาดใจ เวลาฟังเพลงมีความสุข แสดงว่ามีโรคอันตรายต้องรักษา)
เมื่ออบูฏอลิบซึ่งเป็นลุงของท่านนะบี นำท่านมาเลี้ยงที่บ้านกับลูกหลานอบรมขัดเกลาท่านนะบีให้เป็นนักธุรกิจเหมือนตน พาท่านนะบีไปเมืองชาม เยเมนหลายครั้ง จนท่านนะบีมีคุณสมบัติของนักธุรกิจที่มีศักยภาพ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกบันทึกในตำราชีวประวัติของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม (โดยท่านอิบนุอิสหากและอีกหลายท่าน)ว่า ขณะที่ท่านนะบีเดินทางไปเมืองชามกับอบูฏอลิบ มีเมฆมาบังเป็นร่มเงาให้ท่านนะบี และเมื่อท่านพักผ่อน ต้นไม้ก็จะโน้มกิ่งและใบมาบังแดดให้ท่าน ปรากฏว่าหะดีษนี้สายสืบใช้ไม่ได้ แต่เราได้ยินกันมากเพราะเล่าประวัติกันโดยไม่ใช้สายสืบที่เศาะฮี้ฮฺ อุละมาอฺจึงท้วงติงด้วยคำถามว่า แล้วเมฆไปไหน? มีสิ่งมหัศจรรย์มากกว่านี้ที่เกิดขึ้นจริงคือ ชาวมักกะฮฺเห็นดวงจันทร์ถูกแบ่งเป็นสองซีก และระหว่างสองซีกนั้นมีภูเขาลูกหนึ่ง เรื่องนี้มีบันทึกในอัลกุรอาน ซูเราะตุลเกาะมัร ว่า
اقْتَرَبَتِ السَّاعَةُ وَانشَقَّ الْقَمَرُ ﴿١﴾ وَإِن يَرَوْا آيَةً يُعْرِضُوا وَيَقُولُوا سِحْرٌ مُّسْتَمِرٌّ ﴿٢﴾
“วันกิยามะฮฺได้ใกล้เข้ามาแล้ว และดวงจันทร์ได้แยกออก *และหากพวกเขาเห็นสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่า นี่คือมายากลที่มีมาก่อนแล้ว ”
(นักตัฟซีรกล่าวว่าพวกกุฟฟารมักกะฮ.ได้กล่าวแก่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่าหากพวกท่านเป็นคนจริงตามคำพูดก็จงทำให้ดวงจันทร์แยกออกเป็นสองซีก และพวกเขาสัญญาว่าจะศรัทธา ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ขอต่อพระเจ้าตามที่พวกเขาขอร้อง เมื่อดวงจันทร์ได้แยกออกเป็นสองซีกแล้ว และพวกเขาได้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วก็กล่าวว่ามุฮัมมัดได้แสดงมายากลแก่เรา)
ดังนั้นเหตุการณ์มหัศจรรย์ใดที่หลักฐานใช้ไม่ได้เราต้องไม่รับ ไม่ใช่ปฏิเสธมัวอฺญิซาต แต่ยอมรับเฉพาะมัวอฺญิซาตที่มีหลักฐานชัดเจนซึ่งมีมากมาย
และมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่มีระบุในบางตำรา แต่อุละมาอฺที่มีความเชี่ยวชาญบางท่านบอกว่าเป็นสายสืบที่ไม่น่าเชื่อถือ คือขณะที่ท่านนะบีเดินทางผ่านโบสถ์ของบาทหลวงชื่อบะฮีรอ เป็นชาวคริสต์ที่ยึดในศาสนาก่อนถูกบิดเบือน ( ระหว่างท่านนะบีอีซากับท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ประมาณ 300 กว่าปี ในช่วงแรกศาสนาคริสต์ยังไม่ถูกบิดเบือน เพิ่งถูกบิดเบือนช่วงหลัง ก็ยังมีบางคนที่ยึดในศาสนาคริสต์ที่ไม่ถูกบิดเบือน) เห็นท่านนะบีมากับคาราวานอาหรับก็สนใจ จึงเชิญกองคาราวานมากินข้าว บาทหลวงได้สังเกตใบหน้าทุกคนจนถึงท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เห็นอายุยังไม่มาก บะฮีรอก็ไปถามว่าใครเป็นพ่อแม่เด็กคนนี้ เมื่อรู้ว่าเป็นเด็กกำพร้าจึงถามว่าใครดูแล เมื่อรู้ว่าลุงดูแลก็ไปคุยกับลุงว่า ในคัมภีร์ของเราระบุไว้ว่าลักษณะใบหน้าของเด็กคนนี้จะเป็นนะบี และเขาจะมีศัตรู ดังนั้น ท่านจงระมัดระวังอย่าให้เด็กคนนี้ไปพบกับชาวยิวสักคน เพราะชาวยิวถือว่าเด็กคนนี้เป็นศัตรูที่ต้องเข่นฆ่า
เรื่องนี้ระบุในรายงาน แต่ก็ไม่เป็นสาระสำหรับชีวิตของท่านนะบี อุละมาอฺตั้งข้อสังเกตว่าในเมื่ออบูฏอลิบได้ยินบะฮีรอบอกว่ามุฮัมมัดจะเป็นนะบีและได้เห็นกับตาตัวเองว่าท่านได้เป็นนะบีจริง แล้วทำไมอบูฏอลิบไม่ยอมศรัทธา จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่
เรียบเรียงจากการบรรยายของ เชคริฎอ อะหมัด สมะดี เรื่อง ชีวประวัติท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ครั้งที่ 3 (5 มี.ค. 47)
- Printer-friendly version
- Log in to post comments
- 1572 views