นักบวชยิวยืนยันในความเป็นนบีของมุฮัมมัดและอัลกุรอานเป็นสัจธรรม และเชื่อว่าอิสลามเป็นศาสนาแห่งอนาคตและจะเป็นศาสนาที่จะแพร่หลายไปทั่วโลก
เขากล่าวว่า
นาทีที่ 0.15 - "เริ่มต้นที่ศาสนา คริสต์ ซึ่งได้เริ่มเสื่อมถ่อยตั้งแต่ตอนที่ คาร์ล มาร์ก (เจ้าของทฤษฏีคอมมิวนิสต์) ได้เขียนปฎิณญาคอมมิวนิสต์ซึ่งถ้าเราได้พิจารณาดีๆ จะเห็นว่าเป็นทฤษฏีที่แสดงถึงว่าศาสนาคริสต์กำลังจะตาย(เสื่อมถอย) และนี่เป็นความจริง..เพราะศาสนาคริสต์นั้นไม่สามารถที่จะยืนหยัดต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงหรือการปฎิวัติทางสังคม ซึ่งการเสื่อมถอยได้เริ่มในช่วงกลางของศตวรรษที่ 19 ..จนถึงช่วงแรกของศตวรรษที่ 20 ศาสนาคริสต์ก็ไม่ได้เป็นศาสนาที่สามารถเรียกร้องหรือรวบรวมมนุษย์อีกต่อไป และไม่มีบทบาทใดๆในด้านศาสนา ถึงแม้ว่าจะมีพรรคการเมืองคริสเตียนประชาธิปไตยบ้าง เช่นในอิสราเอลที่มีพรรคการเมืองนิยมศาสนายิวอยู่ในรัฐบาล...แต่สรุปคือศาสนาคริสต์ที่สามารถจะมีบทบาทในด้านจิตวิญญาณต่อมนุษย์นั้นได้ตายไปแล้ว
นาทีที่ 1.26 - ส่วนศาสนาอิสลามนั้นตั้งแต่เริ่มต้นเลย ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้สามารถยืนหยัด โดยที่มีหลักศรัทธาที่เข้มแข็งที่สามารถยืนหยัดต่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงต่างๆในโลก
เพราะแท้จริงศาสนาอิสลามได้เติบโตในแบบที่แตกต่างกับศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลามนั้นมีผู้นำที่มีชีวิตมีบทบาทและเป็นสัจธรรมซึ่งถูกประทานเป็นวะฮ์ยู(อัลกุรอาน) และ ณ ตรงนี้ก็ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ในเรื่องนี้ ซึ่งเแตกต่างกับศาสนาคริสต์..แม้แต่ชาวคริสเตียนเองก็วิพากษ์วิจารณ์(ในข้อสงสัย)และข้อขัดแย้งที่มีอยู่ในศาสนาคริสต์
นาทีที่ 2.06 - แต่ในศาสนาอิสลามนั้น เป็นที่ชัดเจนว่ามีนบีซึ่งได้รับวะฮฺยู(อัลกุรอาน)และได้เริ่มสร้างสังคมแห่งศาสนาของเขา บนพื้นฐานอันนี้เขาก็ได้สร้างสังคมใหม่ด้วยหลักคำสอนใหม่ๆ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าในภายหลังนั้นคำสอนต่างๆเหล่านี้สามารถที่จะยืนหยัดต่อ(ความเปลี่ยนแปลง) เพราะเมื่อไหร่ที่ได้อัลกุรอานถูกอ่านสิ่งเหล่านี้ก็จะปรากฏอย่างชัดเจน ...ชัดเจนอย่างยิ่งจากอัลกุรอานเองว่าคำสอนเหล่านี้ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อให้สามารถยืนหยัดมั่นคง...ยืนหยัดในภาวะต่างๆที่มีความยากลำบาก และนี่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น..คำสอนของอิสลามมีความมั่นคงและยืนหยัดต่อภาวะยากลำบากต่างๆ
นาทีที่ 2.43 - ไม่ใช่แค่นี้อย่างเดียว แต่อิสลามนั้นมีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่านั้นนั่นคือการถือกำเนิดในโลกตะวันออกห่างไกลจากยุโรปและห่างไกลจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและทางอุตสาหกรรมในตะวันตก..อิสลามไกลจากสิ่งเหล่านี้..เกิดมาก็ไกลจากสิ่งเหล่านี้ มีพัฒนาการเรื่อยมาโดยห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้และมีความเข้มแข็งพอ
นาทีที่ 3.03 - ปัจจุบันนี้ หลังจากการมาของลัทธิปฎิเสธพระเจ้าโดยสิ้นเชิง เพราะประชาธิปไตยก็คือการปฏิเสธพระเจ้าโดยสิ้นเชิง(ไม่มีข้อจำกัด) ประชาธิปไตยนั้นเป็นสิ่งที่สกปรกน่ารังเกียจ เพราะมันคือการปฏิเสธพระเจ้าในระดับสูงสุดและอย่างสิ้นเชิง และในยุคสมัยนี้ประชาธิปไตยได้เริ่มทำให้โลกหายนะ ในขณะที่ไม่มีอะไรเหลือจากศาสนาคริสต์ยกเว้นสิ่งก่อสร้างโบราณเท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
นาทีที่ 3.40 - และเช่นเดียวกัน ก็ไม่มีอะไรเหลือจากศาสนายิวเช่นกันเนื่องจากมันได้เข้าไปอยู่ภายใต้อาณัติของพวกไซออนิสต์ ดังนั้นทุกวันนี้ ไม่มีอะไรเหลือในโลกนอกจากอิสสลาม
นาทีที่ 3.53 - อิสลามได้เจริญก้าวหน้า เมื่อคนที่ตาม(ท่านนบี)มุฮัมมัดได้ยึดมั่นและปฏิบัติตามคำสอนของศาสนานี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะติดต่อกับพระเจ้าอยู่เสมอ
ชาวคริสต์นั้นถ้าได้ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ก็ถือว่าดีแล้ว แต่มุสลิมนั้นจะคุกเข่า(ละหมาด) 5 ครั้งในทุกๆวัน ตามเวลาที่กำหนดอย่างละเอียด ซึ่งฉันได้คลุกคลีกับพวกเขา(ชาวมุสลิม)ที่โน่น(ฉันจึงรู้ดี) ..
นาทีที่ 4.42 - นอกจากนี้(ครั้งหนึ่ง)ฉันได้เดินทางไปยังยุโรป ตอนนั้นฉันอยู่ที่สนามบิน ซึ่งมีมุมหนึ่งที่สงบ และเมื่อถึงเวลาละหมาด ฉันก็ได้ไปที่มุมนั้นโดยมีมุสลิม 2 คนได้เข้ามาหาฉัน และฉันได้ยืนเพื่อจะทำการละหมาดของฉัน ส่วน 2 คนนั้นก็ได้ปูหนังสือพิมพ์และเริ่มละหมาด....นี่คืออิสลาม.. เรื่องแบบนี้มันมีความหมายและนัยยะหลายอย่าง..มนุษย์ละหมาด 5 เวลาใน 1 วันและถึงแม้ว่าจะมี 5 เวลาแต่การละหมาดก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใช้เวลานาน
นาทีที่ 5.12 - ฉันเคยมีโอกาสได้อ่านเกี่ยวกับการละหมาดของมุสลิม และฉันได้พบว่าการละหมาดนั้นแม้ว่าจะใช้เวลาไม่ยาว แต่มันเป็นเรื่องที่เข้มข้นจริงจังและลึกซึ้งมากๆ..
มนุษย์คนหนึ่งใช้เวลา 5 นาทีในการนั่งคุกเข่า รุกัวะอฺ (ละหมาด)และอ่านสิ่งที่ถูกใช้ให้อ่านในละหมาด ซึ่งในสภาพนั้นเหมือนกับว่าเขากำลังพูดคุยกับพระผู้เป็นเจ้าอันสูงส่ง...และนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆและมีความหมายที่ยิ่งใหญ่...
นาทีที่ 5.35 - ฉะนั้นแล้ว..ทั้งหมดโดยรวม กล่าวได้ว่า อิสลามนั้นคือศาสนาแห่งอนาคต..
เราสามารถกล่าวได้ว่าโลกทุกวันนี้จะไม่มีวันสงบนิ่งเพราะมีสิ่งที่เรียกว่ารัฐอิสราเอล เนื่องจากรัฐนี้ไม่มีสิทธิในการมีอยู่(ก่อตั้งประเทศ).....
และความพยายามทุกอย่างที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ(ในโลก) เช่นวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆหรือปัญหาอื่นๆที่ประดังเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่านั้น จะไม่มีความหมายใดๆ...โลกนี้จะต้องปิดตัวลง(หายนะ)ถ้าไม่มีการจัดการกับรัฐนี้งแท้จริงแล้วมันเป็นต้นตอของความชั่วทั้งหลาย...
นาทีที่ 6.26 - และเมื่อประเทศนี้ถูกจัดการ(ทำลาย)แล้ว ฉันคิดว่าอีก 70 ปี คนส่วนใหญ่บนโลกนี้จะนับถือศาสนาอิสลาม..เนื่องจากศาสนานี้แข็งแกร่งเพียงพอ..ถูกต้อง..และนำมนุษย์ไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง..
ใช่..ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องซุนหนี่ ชีอะหฺและความไม่ลงรอยกันระหว่างสองพวกในบางเรื่องบางราว..แต่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้..
นาทีที่ 6.57 - ฉันหวังว่าเมื่อมีการจัดการ(ทำลาย)ต้นตอของความชั่วทั้งหลาย(นั่นคือรัฐอิสราเอล)แล้ว ปัญหาต่างๆระหว่างพวกเขา(ซุนหนี่-ชีอะหฺ)ก็จะสิ้นสุดไป..
นาทีที่ 7.14 - เมื่อถึงเวลานั้น แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่บนโลกนี้จะนับถือศาสนาอิสลาม...ซึ่งเรื่องนี้ ในปัจจุบันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เพราะพวกเขา(ชาวมุสลิม)เริ่มมีจำนวนมากขึ้น แพร่กระจายไปทั่ว จนถึงขั้นที่มีประเทศยุโรปประเทศหนึ่ง ฉันจำไม่ได้ว่าเป็นประเทศอะไร (สวิสแลนด์) ได้ห้ามการสร้างมัสยิดใหม่ เพราะอิสลามนั้นกำลังแผ่ขยาย..อนาคตของโลกอยู่ที่อิสลาม และนี่คือความเป็นจริงที่สุด..
.....เมื่อได้จัดการกับปัญหาต่างๆที่มีอยู่
ญะซากุมุลลอฮุค็อยร็อน ผู้แปล : อัดนาน ฮารูน นาแซ
----------