ก่อนเริ่มเหตุการณ์ได้รับวะฮียฺ ท่านนะบี จะปฏิบัติเหมือนบรรพบุรุษที่มีเชื้อจากศาสนาของท่านนะบีอิบรอฮีม เมื่อจะทำอิบาดะฮฺ เมื่อจะสำนึกตัว หรือต้องการระลึกถึงพระเจ้า ก็จะเอียะอฺติกาฟ หรือใช้ภาษาง่าย ๆ ว่าไปบวช ตามถ้ำหรือทะเลทราย มีถ้ำหนึ่งในภูเขานูร คือ ถ้ำฮิรออฺ ที่ปากถ้ำสามารถเห็นกะอฺบะฮฺ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งภูเขา เมฆ ท้องฟ้า ต้นไม้ ทะเลทราย สัตว์ เห็นธรรมชาติที่อัลลอฮฺทรงสร้าง ทำให้ระลึกถึงพระองค์ ท่านนะบีมักออกไปทำอิบาดะฮฺที่ถ้ำฮิรออฺ ท่านหญิงคอดิญะฮฺ (ภรรยาคนแรกของท่าน) ก็จะเตรียมเสบียงให้ ท่านหญิงอาอิชะฮฺบอกว่า ท่านนะบีจะไปทำอิบาดะฮฺหลายวันหลายคืน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ท่านเริ่มเข้าสู่วาระความเป็นนะบี
โลกและจักรวาลนี้ที่อยู่ในความมืด-การตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ และเหินห่างจากสัจธรรม เป็นพระมหากรุณาของอัลลอฮฺที่ทรงประทานแสงสว่างให้กับประชาคมโลก เป็นเส้นตาย เพราะหากสังคมไม่ต้อนรับสิ่งใหม่ที่กำลังจะเกิดมาในโลกนี้ แน่นอนสังคมนั้นย่อมไม่สำเร็จ นั่นคือสิ่งที่ปรากฏในสังคมทุกยุคทุกสมัย เมื่อวะฮียฺของอัลลอฮฺมายังที่หนึ่งที่ใด และที่นั้นไม่ต้อนรับการเสด็จของวะฮียฺของอัลลอฮฺ สังคมนั้นล้มเหลว ต้อนรับนักร้องอย่างดี ต้อนรับเทปหรือซีดีออกใหม่อย่างดี แต่อัลกุรอานหรือความรู้เกี่ยวกับศาสนามาสังคมทำเป็นเฉย ๆ สังคมนั้นล้มเหลว เพราะสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดในชีวิตของเราคือ อัลกุรอาน หรือวะฮียฺ ถ้าเราไม่ต้อนรับอย่างดี ก็แสดงว่าอัลกุรอานไม่เป็นความจำเริญสำหรับเรา
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เหตุการณ์ที่โลกใบนี้มีการสื่อสาร และผูกพันกับศรัทธาทั้งหลาย เหตุการณ์ที่ทำให้โลกแห่งความมืด ซึ่งมีชิริก มีกุฟรฺ มีการปฏิเสธพระเจ้า อยู่ในความชั่วความลามก จะรับความบริสุทธิ์ ความสะอาด และความโปร่งใสจากพระผู้เป็นเจ้า เหตุการณ์ที่จะทำให้มนุษย์เริ่มเข้าใจและรู้จักสัจธรรมและความจริง เหตุการณ์นี้คือเหตุการณ์ที่ท่านนะบีได้รับอัลกุรอานจากอัลลอฮฺ
คุณค่าของวะฮียฺ
ข้ามมาเล่าเหตุการณ์สมัยที่ท่านนะบีเสียชีวิตไปแล้ว ขอยกคำพูดของศ่อฮาบะฮฺท่านหนึ่งเพื่อให้เรารู้สึกถึงคุณค่าของอัลกุรอาน โดยเฉพาะในช่วงที่ท่านนะบียังมีชีวิตอยู่ ศ่อฮาบะฮฺบอกว่า เราเข้าเมืองมะดีนะฮฺ ด้วยการที่ท่านนะบีมีบทบาทในการเผยแผ่เทศนา ถือว่ามะดีนะฮฺสว่าง ไปที่ไหนก็สว่าง แต่เมื่อท่านนะบีเสียชีวิตไปแล้ว เขารู้สึกว่ามะดีนะฮฺมืดไปหมด ไม่ใช่มืดเพราะท่านนะบีเสียชีวิต แต่มืดเพราะโอกาสที่วะฮียฺจะมาสิ้นสุดไปแล้ว ท่านนะบีเสียชีวิตไปแล้ว ก็ไม่มีวะฮียฺแล้ว
นั่นคือสิ่งที่ศ่อฮาบะฮฺคำนึงถึง ที่เขาเสียใจเพราะท่านนะบีเป็นผู้นำวะฮียฺ ซึ่งเป็นแสงสว่างจากอัลลอฮฺมาให้มนุษยชาติ แต่เมื่อท่านนะบีเสียชีวิตไปแล้ว นั่นหมายถึงเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ไม่มีพระบัญญัติที่มาจากอัลลอฮฺอีกแล้ว
มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียด ท่านยกตัวอย่างมนุษย์ที่อยู่ในสังคม คนที่มีปัญหากับภรรยาก็มาหาท่านนะบี เล่าให้ท่านนะบีฟังและขอฟัตวาจากท่าน แล้วก็มีบทบัญญัติจากอัลลอฮฺมาชี้แจงถึงเรื่องนี้ เมื่อมีสงครามหรือมีปัญหาเกิดขึ้นก็จะมีกุรอานมาแก้ไข ชี้แนะ และชี้แจงปัญหาต่าง ๆ ในสังคม
แต่เราไม่ค่อยรู้สึกเช่นนี้ ส่วนมากเวลาที่ภรรยามีปัญหากับสามี มักไม่ค่อยอยากให้ศาสนาหรือผู้มีความรู้ด้านศาสนามาเกี่ยวข้อง เพราะยังไม่เชื่อว่าศาสนา อัลกุรอานหรือคำดำรัสของอัลลอฮฺเป็นรัศมี (นูร) ปัญหาคือความมืด เมื่อจะแก้ความมืดก็ต้องด้วยความสว่าง คือรัศมีของพระบัญญัติของอัลลอฮฺ แต่คนที่ยังไม่เชื่อว่าอัลกุรอานคือรัศมีของอัลลอฮฺจะบอกว่าอย่าเอามาพูด อย่าเอามายุ่ง อย่าเอาเรื่องศาสนามาตัดสิน แล้วก็เอาปู่ ย่า ตา ยาย ประเพณี สิ่งที่บรรพบุรุษทำมาตัดสิน หรือให้ผู้ใหญ่ตัดสิน ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้เรื่องศาสนาเลย เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่รู้สึกถึงคุณค่าของวะฮียฺ
ในชีวประวัติของท่านนะบี การที่เราเรียนรู้การริเริ่มมีวะฮียฺ จะทำให้เราเข้าใจและนึกถึงสถานการณ์ที่ชาวกุเรชมักกะฮฺอยู่ในชิริก กุฟรฺ ความมืด แล้วเริ่มมีแสงสว่างที่จะกระจายทั่วไป เพื่อลบล้างความมืดให้หมดไป
วีดีโอ/ไฟล์เสียง :
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
- Printer-friendly version
- Log in to post comments
- 279 views