อะบูฮุรอยเราะฮฺ : สมุดบันทึกในสมัยอัลวะฮฺยฺ 3

Submitted by dp6admin on Fri, 20/01/2012 - 16:32

การห้ามของท่านอะมีรุลมุอฺมินีนมิให้อบูฮุรอยเราะฮฺรายงานฮะดีสชั่วคราวนี้ มิได้เป็นการกล่าวหาแก่อะบูฮุรอยเราะฮฺแต่ประการใด หากแต่เป็นการเสริมสร้างและยืนยันทฤษฎีของอุมัรที่ว่า ให้บรรดามุสลิมีนในยุคนั้นโดยเฉพาะอย่าอ่านและอย่าจดจำสิ่งอื่นใดนอกจากอัลกุรอาน จนกว่าอัลกุรอานจะเป็นสิ่งที่ฝังแน่นและจดจำเป็นอย่างดีเสียก่อน

อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ของอิสลาม เป็นธรรมนูญและเป็นพจนานุกรม ส่วนการรายงานฮะดีสจากร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม   อย่างมากมายโดยเฉพาะในระยะหลังจากท่านร่อซูล ได้ถึงแก่กรรมลง ในขณะที่มีการรวบรวมอัลกุรอานอยู่นั้น จะเป็นเหตุให้เกิดการสับสนกันขึ้นโดยเปล่าประโยชน์

ด้วยเหตุนี้ ท่านอุมัรจึงกล่าวว่า : "จงให้ความสนใจต่ออัลกุรอานเพราะอัลกุรอานเป็นคำตรัสของอัลลอฮฺ" และว่า "จงให้การรายงานจากท่านร่อซูลุลลอฮฺน้อยลง เว้นแต่ในสิ่งที่เป็นที่ถือปฏิบัติกัน"

เมื่ออะบูมูซาอัลอัชอะรีย์ถูกส่งไปยังอิรัก ท่านได้กล่าวตักเตือนไปว่า "ท่านจะไปยังหมู่ชนที่พวกเขามีมัสยิดส่งเสียงกึกก้องด้วยอัลกุรอานเหมือนเสียงร้องของตัวผึ้ง ท่านจงปล่อยให้พวกเขาอยู่ในสภาพเช่นนั้น ท่านอย่าทำให้พวกเขาพะวงอยู่กับฮะดีส แล้วฉันจะให้ความสนับสนุนแก่ท่าน"

อะบูฮุรอยเราะฮฺตระหนักดีถึงทัศนะของอุมัร แต่เขาก็มีความมั่นใจในตัวของเขาและการรักษาอะมานะฮฺของเขาดี เขาไม่ประสงค์ที่จะปิดบังฮะดีสและวิชาความรู้ สิ่งซึ่งเขามีความเชื่อมั่นว่าการปิดบังนั้นเป็นบาปและจะนำความหายนะมาสู่ตัวของเขา ดังนั้น ในทุกโอกาสที่เขาเห็นว่าควรจะถ่ายทอดฮะดีสที่มีอยู่ในทรวงอกของเขา ซึ่งเขาได้ยินมาและจดจำมาเขาก็จะเล่าและรายงานออกไปอีก อย่างไรก็ดี มีสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้อะบูฮุรอยเราะฮฺปวดเศียรเวียนเกล้า เพราะการรายงานฮะดีสอย่างมากมายของเขานั่นเอง แต่ยังมีคู่แข่งที่สำคัญอีกคนหนึ่งในขณะนั้น ซึ่งได้รายงานฮะดีสจากท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างมากมายเหมือนกัน แต่บรรดาศ่อฮาบะฮฺไม่มีความอบอุ่นใจต่อการรายงานฮะดีสของบุคคลผู้นี้ เขาก็คือ กะอฺบุลอัหฺบารฺ ซึ่งแต่เดิมเขาเป็นยะฮูดีแล้วได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม

 ครั้งหนึ่ง มัรวานอิบนุลหะกัมประสงค์ที่จะทดสอบความสามารถในการจดจำของอะบูฮุรอยเราะฮฺ จึงเรียกเขามานั่งและให้เล่าฮะดีสจากท่านร่อซูลุลลอฮฺ ขณะเดียวกันเขาได้ใช้เลขานุการนั่งอยู่หลังม่านและให้บันทึกข้อความทุกคำที่อะบูฮุรอยเราะฮฺรายงาน เวลาได้ล่วงเลยมามาอีก 1 ปี มัรวานอิบนุลหะกัมได้เรียกอะบูฮุรอยเราะฮฺมาอีกครั้งและให้เล่าฮะดีสที่เขาได้เล่าเมื่อปีที่แล้ว ข้อความทุกคำซึ่งอะบูฮุรอยเราะฮฺเล่าในปีนี้ตรงกับที่เลขานุการของมัรวานได้บันทึกไว้ทุกตัวอะบูฮุรอยเราะฮฺไม่ลืมแม้แต่คำเดียว

อะบูฮุรอยเราะฮฺได้กล่าวถึงตัวของเขาว่า ًไม่มีศ่อฮาบะฮฺคนใดที่จะรายงานฮะดีสมากกว่าฉัน เว้นแต่สิ่งที่มีอยู่อับดุลลอฮฺ อิบนฺ อัมรฺอิบนิลอาศ เพราะเขาบันทึกไว้ ส่วนฉันไม่ได้บันทึก"

อิหม่ามชาฟิอี ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวถึงอะบูฮุรอยเราะฮฺว่า อะบูฮุรอยเราะฮฺ เป็นผู้ที่มีความจำมากที่สุดในบรรดาผู้รายงานฮะดีสในยุคของเขา"

อิหม่าม อัลบุคอรีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า ประมาณ 800 กว่าคนทั้งที่เป็นศ่อฮาบะฮฺและอัตตาบิอีน และนักรายงานฮะดีสจากอะบูฮุรอยเราะฮฺ"

ก็เป็นที่ยืนยันได้แล้วว่า อะบูฮุรอยเราะฮฺเปรียบเสมือนโรงเรียนหรือสถาบันใหญ่แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดัง สมควรแก่การบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์

อะบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ เป็นผู้เคร่งครัดในการอิบาดะฮฺและขอพรกลับเนื้อกลับตัวอยู่เสมอ เขาและภรรยารวมทั้งบุตรีของเขาได้ผลัดเปลี่ยนเวรกันละหมาดกลางคืนตลอดคืน 3 คนๆ ละ 1/3 ของคืน ก็จะเห็นได้ว่าชั่วโมงหนึ่งของเวลากลางคืนที่ได้ผ่านไปในบ้านของอะบูฮุรอยเราะฮฺ จะต้องมีการอิบาดะฮฺ การรำลึกถึงอัลลอฮฺตะอาลา และการละหมาดอยู่เสมอ

เพื่อที่จะใช้เวลาว่างในการติดตามท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไปทุกหนทุกแห่ง อะบูฮุรอยเราะฮฺจะต้องทนทุกข์ทรมานในการหิวและการอดอาหารชนิดที่ไม่มีใครเคยประสบมาก่อนเลยเขาได้เล่าให้เราฟังว่า ครั้งหนึ่งความหิวได้มาเยือนเขาจนกระทั่งเขาใช้มือกดท้องเพราะความปวดเขาเป็นลมล้มลงในมัสยิด จนกระทั่งศ่อฮาบะฮฺบางคนเข้าใจว่าเขาเป็นลมบ้าหมู ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อนเลย