รู้จักศัตรูของท่านเถิด

Submitted by dp6admin on Thu, 07/05/2009 - 17:14

เชคริฎอ อะหมัด สมะดี
วารสารร่มเงาอิสลาม เมษายน 2549

ไม่ประหลาด หากพวกเราเห็นนักเลงทะเลาะวิวาทกันในเรื่องไร้สาระ ทั้งๆที่อาจเป็นกลุ่ม มุสลิมด้วยกัน และไม่ประหลาดเช่นเดียวกันหากได้เห็นนักเรียนช่างกลปะ ทะกันด้วยเหตุผลเรื่องผู้หญิง หรือเรื่องจิ๊บจ๊อยระหว่างวัยรุ่น  เพราะเหล่านี้เป็นบุคคลที่ค่อนข้างไม่มีอุดมการณ์ละความชัดเจนในชีวิตของพวกเขา

แต่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ถ้าหากมุสลิมที่เรียนรู้ศาสนาเข้าใจหลักการและมีเป้าหมายในชีวิต แต่ยังเชื่อว่าศัตรูฉกาจที่ต้องต่อสู้คือพี่น้องมุสลิมของเขาเอง

ในสังคมและ โลกมุสลิมย่อมมีปัญหามากมายที่สร้างความสับสนวุ่นวายระหว่างพี่น้องมุสลิม ด้วยกันในเชิงหลักการและวิชาการ จำเป็นต้องมีทางออกเพื่อให้แต่ละฝ่ายนั้นได้มีข้อยุติและสมัครสมานบนพื้นฐานแห่งความถูกต้อง และความสำเร็จขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละฝ่ายที่ยึดกับหลักการและขอมรับยุติปัญหาด้วยความถูกต้องที่นำมาจากคำสั่งสอนของอิสลาม

แต่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหาข้อยุติไม่ได้สำหรับบุคคลหรือองค์กรที่ใช้อารมณ์ทิฐิและอกติกับฝ่ายตรงข้ามจนถึงขั้นเห็นฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ร้ายแรงกว่าสัตรูอิสถามที่ถูกระบุในอัลกุรอาน อาทิเช่น ยะฮูด นะศอรอ และมุชริกีน
ในเชิงจิตวิทยานับว่าเป็นโรคทางจิตที่คนบางคนไม่สามารถแยกแยะระหว่างศัตรูกับมิตร ซึ่งปัญหาทางจิตใจทำให้เกิดข้อสงสัย โดยข้อสงสัยนี้จะมีอิทธิพลทางประสาทและการควบคุมของสมอง ทำให้คนเหล่านี้อาจฆ่าบิดาหรือมารดาของตนเนื่องจากข้อสงสัยดังกล่าว ระหว่างสามีภรรยาก็ย่อมมีสิ่งเหล่านี้ ทั้งๆที่เป็นครอบครัวเดียวกันแต่ความเกลียดชังอาจถึงขั้นที่มองหน้าไม่ได้

ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าเรื่องจิตใจย่อมมีอิทธิพลสูงในชีวิตของมนุษย์ ซึ่งอาจก้าวไปถึงอุดมการณ์และหลักการที่ตัวเองขอมรับนับถือก็ได้ เพราะฉะนั้นอัลอิสลามจึงสอนให้มุสลิมยึดตัวบทและหลักฐานเป็นเกณฑ์ และอย่าให้ความรู้สึกส่วนตัวหรือความเข้าใจที่ไม่สอดคล้องกับตัวบทมาเป็นบรรทัดฐานในการดำรงชีวิต เพราะสิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้มุสลิมสามารถลำเอียงกับสิ่งที่จิตใจของตัวเองสนิทสนมอยู่

ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮฺได้พูดถึงเรื่องการรักใคร่และเกลียดชังเพื่ออัลลอฮฺ ดังที่มีปรากฏในหะดีษบันทึกโดยอิมามอบูดาวู้ค ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยชิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า "ใครก็ตามรักเพื่ออัลลอฮฺ เกลียดเพื่ออัลลอฮฺ คนเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีอีมานอย่างครบถ้วน"

บางคนเข้าใจว่าเรื่องรักเรื่องเกลียดรวมไม่ได้ หมายถึงรักแล้วเกลียดไม่ได้ หรือเกลียดก็รักไม่ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

สำหรับผู้ที่มุสลิมต้องเกลียดเพื่ออัลลอฮฺและไม่รักใคร่เพื่ออัลลอฮฺโดยเด็ดขาด ก็คือผู้ปฏิเสธอีมาน(มุชริกหรือกาฟิร)  ซึ่งชนเหล่านี้ถูกกริ้วและขับไล่จากพระเมตตาของอัลลอฮฺ จึงเป็นที่รักของมุสลิมไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายรวมว่าห้ามทำความดีกับเขา เพราะการทำความดีย่อมเป็นคุณธรรมและวินัยของมุสลิมที่ต้องปฏิบัติกับทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งกับสัตว์เดรัจฉานน แต่ความรักความสนิทสนมกับผู้ปฏิเสธอีมานเป็นเรื่องที่กระทำไม่ได้ ดังที่อัลลอฮุ ซุบฮานะฮวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮุอัลมุญาดะละฮุ อายะฮฺที่ 22 ซึ่งมีใจความว่า "เจ้าจะไม่พบหมู่ชนใดที่พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก รักใคร่ชอบพอผู้ที่ต่อต้านอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์"

แต่สำหรับผู้ศรัทธาหรือมุสลิมนั้น การเกลียดชังและการรักใคร่มีโอกาสรวมกันได้ในสถานะของบุคคลเดียว ชัยดุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮฺได้บอกว่า สำหรับมุสลิมอาจมีความดีและไม่ดี มีการศรัทธาและปฏิเสธศรัทธา มีความซื่อสัตย์และการบิดพลิ้ว มีกตัญญูและอกตัญญู ซึ่งเรามีหน้าที่รักใคร่มุสลิมแบบนี้ในสิ่งที่เป็นความดีที่มีอยู่ในตัวเขา และเกลียดสิ่งที่ไม่ดีที่มีอยู่ในตัวเขาเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นมุสลิมคนหนึ่งอาจจะเป็นผู้ที่ถูกรักและถูกเกลียดในขณะเดียวกัน แต่ความรักหรือความเกลียดจะมีมากกว่ากัน ก็ขึ้นอยู่ที่ความดีของมุสลิมคนนั้นมีมากน้อยเท่าไหร่ ถ้าหากความศรัทธาและคุณธรรมมีมากกว่าความเลวและการฝ่าฝืน ก็ควรเป็นมุสลิมที่ต้องรักใคร่ แต่หากมีความเลวร้ายมากกว่าความดีก็ควรถูกเกลียด แต่ต้องยอมรับและยุติธรรมต่อความดีของเขาด้วย

คนที่มีเครื่องวัดเครื่องชั่งเช่นนี้สามารถปรับความรู้สึกกับผู้อื่นอย่างเป็นธรรม เพราะอดติที่มนุษย์มีต่อคนอื่นนั้นมักจะเกิดจากอารมณ์และความรู้สึกที่ไม่ได้ถูกควบกุมด้วยหลักการและเหตุผล เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้ความรู้ด้านสาสนาเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตของเรา โดยเฉพาะส่วนที่เป็นความรู้สึกและทิฐิอันจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่นนั้นมีประสิทธิภาพและความถูกต้อง

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสมาชิกครอบครัวเดียวกัน สัปบุรุษมัสยิดเดียวกัน ชุมชนเดียวกัน หรือทายาทด้วยกัน ส่วนมากจะได้รับการสนับสนุนจากอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเรา โดยไม่ชอบให้หลักการและวิชาความรู้มาเป็นผู้ตัดสินปัญหา จึงทำให้ความขัดแย้งนั้นเพิ่มขึ้นด้วยกิเลสของแต่ละฝ่าย และความขัดแย้งที่ห่างไกลจากหลักการศาสนาก็จะยิ่งห่างไกลจากข้อยุติ เพราะไม่มีใครในโลกนี้รับประกันจิตใจของมนุษย์ได้ อารมณ์ของมนุษย์ที่ไม่มีหลักการและเหตุผลมักจะถูกชักจูงได้ง่ายโดยชัยฏอนและกิเลส ซึ่งไม่มีอะไรที่จะปราบปรามสิ่งเหล่านี้ได้นอกจากหลักการของศาสนา

จากแนวทางที่นำเสนอข้างต้น  พี่น้องสามารถให้คำตอบได้ว่าทำไมมุสลิมบางคนและอาจเป็นนักวิชาการด้วย ถือว่าพี่น้องมุสลิมของเขาเป็นศัตรูที่ร้ายแรงกว่ายะฮูดีและนัสรอนี ทั้งๆที่มีอะกีดะฮฺเหมือนกัน เป้าหมายก็คล้ายคลึงกัน แต่กลับเป็นศัตรูที่ต้องเตรียมถล่มด้วยทุกวิถีทาง และหนำซ้ำยังปล่อยทิ้งศัตรูตัวจริงให้รอดพ้นจากการต่อด้านที่ได้ปฏิบัติกับพี่น้องมุสลิมของเขา 

เป็นสิ่งที่ปรากฏในสังคมของเราและปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบางกลุ่มที่ยอมลงทุนร่วมมือกันเพื่อต่อต้านถล่มบุคคลหนึ่งบุคคลใดในสังคมที่อาจเคยเป็นพวกเดียวกันก็ได้ โดยอ้างว่าเป็นการปกป้องอิสลาม อนุรักษ์หลักการของศาสนา แต่ชาวบ้านมองพฤติกรรมนี้ว่าเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ จะทำอย่างไรครับให้คนประเภทนี้ตื่นตัวและสำนึกผิด เข้าใจในหลักการ กระจ่างในเหตุผล จะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้มีความสมานฉันท์กับกลุ่มอื่นๆ ที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน จะทำอย่างไรให้บุคคลประเภทนี้รักพี่น้องมุสลิม คำนึงถึงความดีและคุณธรรมของผู้อื่น คำตอบคือ คนประเภทนี้ต้องรู้จักศัตรูที่แท้จริง คนประเกทนี้ต้องศึกษาอัลกุรอานอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าหากศึกษาแล้วรู้แล้ว แต่คงดำรงไว้ซึ่งการต่อต้านพี่น้องมุสลิมของเขาเอง เราต้องย้อนถามอีกครั้งหนึ่งว่า ปัญหามันอยู่ตรงไหนครับ ? ท่านสามารถตอบได้