อะกีดะฮฺของอัสสะละฟุศศอลิหฺ

Submitted by dp6admin on Mon, 09/11/2009 - 15:20

 

ความหมายทางภาษา อัสสะลัฟ (السَّلَف) มาจากรากศัพท์ สะละฟะ (سَلَفَ) แปลว่า ผ่านพ้นไปแล้ว ในทางวิชาการหมายถึง “บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว” อันเป็นกลุ่มชนที่อัลกุรอานและซุนนะฮฺรับรองความถูกต้องของอะกีดะฮฺ แต่มิได้หมายถึงบรรพบุรุษตั้งแต่ยุคของเราย้อนไปจนถึงยุคของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทังหมด อัสสะลัฟ คือบรรดามนุษย์ที่อยู่ในยุคแรกๆ ในหนังสือนี้นิยมใช้คำว่า “ศตวรรษแรกๆ” (หมายถึงร้อยปี) (หน้า 16-17) ซึ่งไม่เหมาะสมเพราะอาจทำให้คนเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะอัสสะลัฟอาจจะมากหรือน้อยกว่าร้อยปีก็ได้ 

อัสสะลัฟ คือ บรรพชนสามยุคแรกนับตั้งแต่ยุคเศาะฮาบะฮฺ ถึงยุคตาบิอีน และตาบิอิตตาบิอีน 

สัจธรรมที่อัลลอฮฺใช้ให้ท่านญิบรีลนำมายังท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพื่อประกาศแก่มนุษย์คืออัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺ  คนที่มารับสัจธรรมจากท่านนบีในยุคแรก คือ “เศาะฮาบะฮฺ” (ผู้ศรัทธาที่ได้พบท่านนบี) ฉะนั้นเมื่อต้องการรับความรู้เกี่ยวกับอะกีดะฮฺก็ต้องผ่านบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่ท่านนบีได้มอบศาสนาให้แก่พวกเขาโดยตรง ถ้าเป็นความรู้ที่ไม่อ้างอิงถึงเศาะฮาบะฮฺ เช่น มีคนอ้างว่าอะกีดะฮฺของเขาคืออะกีดะฮฺของอัชอารียะฮฺ(อิมามอบุลหะซัน อัลอัชอารียฺ)  ที่มีการตีความอัลกุรอานว่า “พระหัตถ์ของอัลลอฮฺคืออำนาจ” หรือ “พระบัลลังก์ของอัลลอฮฺ คือ ทรงครองอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง” อันไม่ได้เป็นความรู้ที่มาจากเศาะฮาบะฮฺ แม้จะผ่านอุละมาอฺหลายท่านก็รับไม่ได้ เพราะอุละมาอฺหลายๆท่านก็ย้ำกับลูกศิษย์ของท่านว่าอะกีดะฮฺที่ไม่ได้มาจากท่านนบีหรือบรรดาเศาะฮาบะฮฺนั้นก็ไม่ถูกต้อง

ดังนั้นอะกีดะฮฺของอัสสะละฟุศศอลิฮฺ คืออะกีดะฮฺของบรรดาผู้ศรัทธาในสามยุคแรก ซึ่งเป็นอะกีดะฮฺที่อัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ยืนยันไว้ ดังหลักฐานต่อไปนี้

وَمَن يُشَاقِقِ الرَّسُولَ مِن بَعْدِ مَا تَبَيَّنَ لَهُ الْهُدَى وَيَتَّبِعْ غَيْرَ سَبِيلِ الْمُؤْمِنِينَ نُوَلِّهِ مَا تَوَلَّى وَنُصْلِهِ جَهَنَّمَ وَسَاءتْ مَصِيراً ﴿١١٥

ความว่า “และผู้ใดที่ฝ่าฝืนรอซูลหลังจากทางนำอันถูกต้องได้ปรากฏแก่เขาแล้ว และปฎิบัติตามแนวทางผู้ที่ไม่ใช่ผู้ศรัทธา เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาหันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นที่กลับอันชั่วร้าย”  (ซูเราะฮฺอันนิซาอฺ อายะฮฺที่ 115)

ยุชากิก (يُشَاقِقِ) มาจากรากศัพท์ ชักเกาะ (شَقَّ)  แปลว่า ตัด, ตัดออก, ตัดให้ห่าง เสมือนว่าคนที่ฝ่าฝืนท่านรอซูลนั้นคือคนที่ตัดตัวให้ห่างออกจากท่านนบี   หลังจากที่ได้รับทางนำ (الْهُدَى ฮุดา) จากอัลลอฮฺแล้ว และปฏิบัติตามแนวทางของผู้ที่ไม่ใช่ผู้ศรัทธา (وَيَتَّبِعْ غَيْرَ سَبِيلِ الْمُؤْمِنِينَ) อัลลอฮฺก็จะให้เขาหันไปตามทางที่เขาศรัทธา ใครจะตามมัซฮับตามอิมามของเขาโดยไม่อ้างถึงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อัลลอฮฺก็จะให้เขาหันไปตามนั้น ในหะดีษกุดซียฺบทหนึ่ง อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า

قال تعالى في حديث قدسي : أَنَا أَغْنِى الشُرَكَاء عن الشرك من عملآً أشرك معي فيه غيري , تركته وشركه .  رواه مسلم

ความว่า “ข้ามีความมั่งคั่ง โดยที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นเลย ใครที่มาอ้างภาคีกับฉัน ฉันก็จะทิ้งอะมัลของเขาให้กับภาคีนั้น” เช่น ละหมาดเพื่ออัลลอฮฺและเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเราเคร่งมีตักวา อัลลอฮฺก็จะให้การละหมาดนั้นแก่ภาคี เพราะที่อัลลอฮฺต้องการคืออิคลาศ (ความบริสุทธิ์ใจ)

ในอายะฮฺอัลกุรอานข้างต้นอัลลอฮฺตรัสว่า “ใครที่ฝ่าฝืนท่านนบีและไม่ปฏิบัติตามผู้ศรัทธา” คำว่า ผู้ศรัทธา ในที่นี้ก็ต้องมีบรรทัดฐานที่แน่นอนว่าอย่างไรจึงจะเรียกว่าผู้ศรัทธาที่เราต้องปฏิบัติตาม ซึ่งอัลลอฮฺได้ตรัสไว้ใน ซูเราะตุลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 137 ว่า

فَإِنْ آمَنُواْ بِمِثْلِ مَا آمَنْـتُمْ بِهِ فَقَدِ اهْتَدَواْ وَّإِن تَوَلَّوْاْ فَإِنَّمَا هُمْ فِي شِقَاقٍ فَسَيَكْفِيكَهُمُ اللّهُ وَهُوَ السَّمِيعُ الْعَلِيمُ ﴿١٣٧﴾

ความว่า “แล้วหากพวกเขา(มุชริกีน)ศรัทธาอย่างที่พวกเจ้า(นบีและบรรดาเศาะฮาบะฮฺ)ศรัทธาแล้ว แน่นอนพวกเขาก็ย่อมได้รับข้อแนะนำที่ถูกต้อง (อัลลอฮฺรับรองว่าอะกีดะฮฺที่ถูกต้องคืออะกีดะฮฺของท่านนบีและบรรดาเศาะฮาบะฮฺ) และหากพวกเขาผินหลังให้ แน่นอนพวกเขาย่อมอยู่ในความแตกแยกกัน แล้วอัลลอฮฺก็จะทรงให้เจ้าพอเพียงแก่พวกเขา และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการได้ยิน ทรงไว้ซึ่งความรอบรู้”

และในหะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

) حدثنا عبد الله بن إدريس عن أبيه عن جده عن جعدة بن هبيرة قال : قال رسول الله صلى الله عليه وسلم : خير الناس قرني ثم الذين يلونهم ثم الذين يلونهم ثم الآخر أردى . 

ความว่า “มนุษย์ที่ดีที่สุดคือ ยุค(รุ่น,สมัย)ของฉัน (นบีและเศาะฮาบะฮฺ) หลังจากนั้นคือผู้ที่อยู่ในยุคต่อมา (คือตาบิอีน - ผู้ตามเศาะฮาบะฮฺ) หรือผู้ที่อยู่ในยุคต่อมา (ตาบิอิต-ตาบิอีน)”

หลักฐานจากอัลกุรอานและหะดีษเหล่านี้เป็นการยืนยันถึงความดีเลิศของบรรดาบรรพชนสามยุคแรก ซึ่งเมื่อศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามก็ปรากฏจริงที่ว่าสามยุคแรกเป็นยุคที่มีความบริสุทธิ์ในด้านอะกีดะฮฺ และมีอุตริกรรมหรือบิดอะฮฺน้อยที่สุด  (กลุ่มต่างๆ เช่น มุรญิอะฮฺ, ญะหฺมียะฮฺ,  มุอฺตะซิละฮฺ, ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ ฯลฯ เริ่มมีขึ้นหลังสมัยตาบิอิตตาบิอีน บางกลุ่มมีตั้งแต่สมัยเศาะฮาบะฮฺแต่ก็ไม่มีความผิดเพี้ยนรุนแรง) การที่ท่านนบีรับรองว่าสามยุคแรกดีเลิศประเสริฐที่สุด หมายรวมว่าให้ปฏิบัติตามคนกลุ่มนี้ซึ่งก็คือ สะละฟุศศอลิหฺ
 
บรรดาอายาตที่กล่าวถึงความประเสริฐของเศาะฮาบะฮฺมีมากมาย เช่น

وَالسَّابِقُونَ الأَوَّلُونَ مِنَ الْمُهَاجِرِينَ وَالأَنصَارِ وَالَّذِينَ اتَّبَعُوهُم بِإِحْسَانٍ رَّضِيَ اللّهُ عَنْهُمْ وَرَضُواْ عَنْهُ

“บรรดาบรรพชนยุคแรกในหมู่ผู้อพยพ และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ (ชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรฺ) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮฺทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย” (ซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 100)

مُحَمَّدٌ رَسُولُ اللَّهِ وَالَّذِينَ مَعَهُ أَشِدَّاءُ عَلَى الْكُفَّارِ رُحَمَاءُ بَيْنَهُمْ تَرَاهُمْ رُكَّعًا سُجَّدًا يَبْتَغُونَ فَضْلًا مِنَ اللَّهِ

 “มุฮัมมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขา (เศาะฮาบะฮฺ) มีความรุนแรง(คือมีความชัดเจน)กับกาฟิร มีความเมตตาสงสารระหว่างพวกเขา(ซึ่งกันและกัน) เจ้าจะเห็นพวกเขาเป็นผู้รุกูอฺ ผู้สุญูดโดยแสวงหาคุณความดีจากอัลลอฮฺ” (ซูเราะฮฺอัลฟัตห อายะฮฺที่ 29)

وَمَنْ يُطِعِ اللَّهَ وَالرَّسُولَ فَأُولَئِكَ مَعَ الَّذِينَ أَنْعَمَ اللَّهُ عَلَيْهِمْ مِنَ النَّبِيِّينَ وَالصِّدِّيقِينَ وَالشُّهَدَاءِ وَالصَّالِحِينَ وَحَسُنَ أُولَئِكَ رَفِيقًا

“และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลแล้ว ชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบี ผู้ที่มีความสัจจะ ผู้ที่เสียชีวิตในสงครามและบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี” (ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ อายะฮฺที่ 69)

 

مَنْ يُطِعِ الرَّسُولَ فَقَدْ أَطَاعَ اللَّهَ وَمَنْ تَوَلَّى فَمَا أَرْسَلْنَاكَ عَلَيْهِمْ حَفِيظًا

“ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว และผู้ใดผินหลังให้ เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผู้ควบคุมพวกเขาไม่” (ซูเราะฮฺ อันนิซาอฺ อายะที่ 80)

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آَمَنُوا أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَلَا تُبْطِلُوا أَعْمَالَكُمْ

“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูลคนนี้เถิด และอย่าทำให้การงานของพวกเจ้าไร้ประโยชน์” (ซูเราะฮฺมุฮัมมัด อายะฮฺที่ 33)

وَمَنْ يَعْصِ اللَّهَ وَرَسُولَهُ وَيَتَعَدَّ حُدُودَهُ يُدْخِلْهُ نَارًا خَالِدًا فِيهَا وَلَهُ عَذَابٌ مُهِينٌ

“และผู้ใดทรยศต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ และล่วงละเมิดขอบเขตของพระองค์แล้ว พระองค์ทรงทำให้เขาเข้าสู่นรก พำนักตลอดกาลอยู่ในนั้น และเขาจะได้รับการทรมานอย่างต่ำต่อย” (ซูเราะฮฺอันนิซาอฺ อายะฮฺที่ 14 )

จากบรรดาโองการข้างต้นแสดงให้เห็นว่าบรรดาเศาะฮาบะฮฺเป็นผู้ที่มีความชัดเจนต่อกาฟิร แต่กับบรรดามุสลิมนอบน้อม เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูล เป็นผู้ที่มีความสัจจะ และประพฤติดี อันเป็นลักษณะของบรรดาเศาะฮาบะฮฺที่อัลลอฮฺทรงยกย่องและพอพระทัยพวกเขา คนที่จะปฎิบัติตามเศาะฮาบะฮฺต้องมีลักษณะเช่นเดียวกับพวกเขา


เรียบเรียงจากการบรรยายของ เชคริฎอ อะหมัด สมะดี
เรื่อง อะกีดะตุสสะลัฟ 2 ความหมายของอะกีดะฮฺและอัสสะละฟุศศอลิหฺ