(وَالَّذِي قَدَّرَ فَهَدَىٰ)
“และผู้ทรงกำหนดสภาวะ...แล้วทรงชี้แนะแนวทาง”
นี่คืออายะฮฺที่เป็นใจความหลักของซูเราะฮฺนี้ ส่วนอายะฮฺอื่นๆเป็นเสมือนการอธิบายให้เป้าหมายของอายะฮฺนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากอายะฮฺที่แล้วซึ่งอัลลอฮฺได้ตรัสว่า “พระองค์คือผู้ทรงสร้าง แล้วทรงทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์” และต่อด้วยอายะฮฺนี้ พระองค์ก็ทรงตรัสอีกว่า “พระองค์คือผู้ทรงกำหนดสภาวะ แล้วทรงชี้แนะแนวทาง” อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มิได้เป็นเพียงผู้สร้างและทำให้ผู้ที่ถูกสร้างสมบูรณ์เท่านั้น หากแต่พระองค์ยังทรงกำหนดสภาวะความเป็นไปของผู้ถูกสร้าง พร้อมชี้แนะแนวทางหรือฮิดายะฮฺ แก่มนุษย์และทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในสากลโลก
“ฮิดายะฮฺ” มิได้มีความหมายเพียงการบรรลุถึงความสมบูรณ์แล้วเท่านั้น หากแต่ฮิดายะฮฺยังหมายถึง การถูกสร้างมาให้มีชีวิต การที่เกิดมามีสติปัญญาหรือการมีกำลังกายกำลังหัวใจ ทั้งหมดนี้เป็นสัญลักษณ์และหลักฐานอันชัดแจ้งในสิ่งที่อัลลอฮฺ ทรงสร้างไว้ เช่นนี้ที่เราเรียกว่า “ฮิดายะฮฺอิรชาด” คือฮิดายะฮฺที่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ศรัทธาหรือผู้ปฏิเสธต่างก็ได้รับ ด้วยฮิดายะฮฺนี้เป็นการเพียงพอแล้วที่มนุษย์จะเข้าใจสัจธรรม ทว่าบางคนกลับไม่ไตร่ตรอง
ฮิดายะฮฺอีกชนิดหนึ่งคือ “ฮิดายะฮฺเตาฟีก” อันเป็นฮิดายะฮฺที่นำพาสู่ความสำเร็จ โดยผ่านกระบวนการความเชื่อ ความเข้าใจ และการยอมรับ ดังตัวอย่างเรื่องการมีอยู่จริงของอัลลอฮฺ ผู้ทรงมี ซึ่งมิอาจปฏิเสธได้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อ เข้าใจ และยอมจำนนต่อสัจธรรมข้อนี้ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานยืนยันถึงการมีของพระองค์ด้วยการอธิบายหรือการเผยแผ่อย่างมากมาย พร้อมด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่เอื้อให้ทุกคนสามารถศึกษาและทำความเข้าใจได้ด้วยตนเอง สำหรับผู้ที่เชื่อ เข้าใจ และยอมจำนนนั้นคือผู้ที่ได้รับแล้วซึ่งฮิดายะฮฺ แต่สำหรับผู้ใดที่รู้ แต่ไม่เชื่อ ไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับ อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับฮิดายะฮฺ เพราะฮิดายะฮฺนั้นอยู่ ณ อัลลอฮฺ ผู้ทรงชี้นำแนวทาง
โดยแน่แท้ ทุกสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์นั้น ล้วนเอื้อให้เข้าใจและถูกทำให้ง่ายต่อการได้รับฮิดายะฮฺ ซึ่งปัจจัยที่เปรียบดั่งหนทางสู่การได้รับฮิดายะฮฺก็คือ ความปรารถนาและความประสงค์ การปรารถนาความดีและประสงค์จะละทิ้งความชั่วของมนุษย์นั้น คือใบเบิกทางสู่การได้รับทางนำ หากมนุษย์ปรารถนาและแสวงหาทางนำ ทางนำก็จะมายังเขาด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮฺ แต่หากมนุษย์ไม่ประสงค์ทางนำ หลีกห่างออกจากทางนำ ทางนำจะมายังเขาได้อย่างไร ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องแปลกที่บนโลกดุนยานี้จะมีหลายคนยอมพลิกหนทาง ผันสัจธรรม และบิดเบือนความจริงให้เกิดความสับสน เกิดความเท็จ และหลงผิดในที่สุด ซึ่งนั่นไม่ใช่ข้อบกพร่องของการกำหนดสภาวะหรือการชี้แนะแนวทางจากอัลลอฮฺ แต่อย่างใด สาเหตุที่แผ่นดินนี้ยังมีกาฟิรฺและมีผู้ทำอุตริกรรมความชั่วมากมาย ก็ไม่ได้เป็นข้อขัดแย้งกับการกำหนดและการประทานฮิดายะฮฺของอัลลอฮฺ แม้แต่น้อย เพราะแท้จริงพระองค์ได้ทรงชี้ทางนำแนะทางสว่างแก่ทุกสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์ด้วยหลักฐานอันชัดแจ้งแล้ว
เมื่อเราได้ตระหนักในอายะฮฺนี้ ซึ่งเป็นอายะฮฺอันยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะได้กล่าวถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญมากในชีวิตของเรา นี่คือเหตุผลที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มักจะอ่านทบทวนซูเราะฮฺนี้อยู่เสมอ ชีวิตของเราจะไม่มีคุณค่าเลยหากว่าเราไม่ได้พินิจพิจารณาถึงสัจธรรม ว่าเรามีสัจธรรมไหม เราต้องการสัจธรรมไหม เราแสวงหาความจริงไหม ในทุกๆเรื่อง ทุกปัญหา ทุกประเด็นวาระคดีในสังคม จะมีทั้งสัจธรรมและความเท็จ ต่อเมื่อมันเกี่ยวข้องกับเรา เราก็ต้องมีทัศนคติว่าสัจธรรมอยู่ตรงไหน อายะฮฺนี้จะให้นัยยะต่างๆในการทำความเข้าใจ ไตร่ตรองว่าสัจธรรมและทางนำนั้นจะเกิดขึ้นในชีวิตของเราอย่างไร เมื่อเราเข้าใจว่าอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสร้าง ทรงกำหนด และทรงทำทุกอย่างให้สมบูรณ์ เราก็ต้องกลับมาทบทวนว่าข้อบกพร่องของเราอยู่ตรงไหน ส่วนใดที่ทำให้เราอยู่ในความมืด ความคลุมเครือ ความสับสน อันจะทำให้เราไม่สามารถบรรลุสัจธรรมได้ อัลกุรอานกำลังสอนเราว่าอย่าได้ตำหนิการกำหนดแห่งอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่จงใคร่ครวญว่าตนได้แสวงหาความจริงมากน้อยเพียงใดอย่างไร เราทำหน้าที่ของตัวเองสมบูรณ์หรือยัง เพราะแท้จริงแล้ว อัลลอฮฺ ได้ทรงทำให้อย่างสมบูรณ์แล้ว เนื่องจากพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้า ผู้ไร้ซึ่งความบกพร่อง
เรียบเรียงจาก การอรรถาธิบายความหมายอัลกุรอาน (ตัฟซีร) ในซูเราะฮฺอัลอะอฺลา โดยชัยคฺริฎอ อะหฺมัด สมะดี
- Printer-friendly version
- Log in to post comments
- 237 views