สะอีด อิบนฺ อามิร อัลญุมะฮีย์ : ผู้ยิ่งใหญ่ภายใต้เสื้อที่ขาดรุ่งริ่ง 1

Submitted by dp6admin on Sun, 04/03/2012 - 16:51
เนื้อหา

ผู้สละโลกดุนยาเพื่อโลกอาคิเราะฮฺ และเทอดทูนอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด

อาจารย์อะหมัด สมะดี (ร่อหิมะฮุลลอฮฺ)

 
สะอีด อิบนฺ อามิร (سعيد ابن عامر الجمحي) ผู้สละโลกดุนยาเพื่อโลกอาคิเราะฮฺ และเทอดทูนอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มที่มีชื่อว่า "สะอีด อิบนฺ อามิร อัลญุมะฮีย์" เป็นหนุ่มคนหนึ่งในบรรดาเด็กหนุ่มทั้งหลายที่ได้ออกไปยังตำบล "อัตตะนะอีม" ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองมักกะฮฺ ตามคำเชื้อเชิญของผู้นำชาวกุเรช เพื่อเป็นสักขีพยานในการประหาร "คุไบบ อิบนฺ อะดียฺ" (خبيب ابن عدي)

สาวกคนหนึ่งของท่านนะบีมุฮัมมัด  หลังจากพวกกุเรชได้รับความสำเร็จในการหลอกลวงเขาให้ตกเป็นเชลย ความหนุ่มแน่นและร่างกายกำยำของสะอีดทำให้เขาเบียดฝูงชนเข้าไป จนกระทั่งไปยืนอยู่แถวหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดาผู้นำชาวกุเรช เช่น อะบูซุฟยาน อิบนฺ หัรบฺ, ศ็อฟวาน อิบนฺ อุมัยยะฮฺ และบุคคลอื่นๆ

 
ในวันนั้นเขามีโอกาสได้เห็นเชลยของกุเรช คือ คุไบบ ถูกมัดมือมัดเท้าและถูกจูงไปยังแท่นที่เตรียมไว้เพื่อรับการทรมานก่อนถูกประหารชีวิต ขณะเดียวกัน เสียงปรบมือของฝูงชนที่มีทั้งหญิงชายหนุ่มแก่และเด็ก เป็นการเร่งเร้าประชาชนให้มารุมล้อมเพื่อให้เกิดความคั่งแค้นต่อท่านนะบีมุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และเป็นการแก้แค้นให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตในสงครามบัดรฺต่อเชลยคนนี้ คือคุไบบที่กำลังเป็นเป้าสายตานับจำนวนพันๆ คู่
 
เมื่อคลื่นของฝูงชนพร้อมด้วยเชลยเคลื่อนขบวนไปถึงสถานที่ที่เตรียมไว้เพื่อประหารชีวิตแล้ว ชายหนุ่ม สะอีด อิบนฺ อามิร อัลญุมะฮีย์ ซึ่งมีร่างสูงใหญ่ ก็หยุดยืนทอดสายตาไปยังคุไบบ ซึ่งกำลังถูกนำขึ้นสู่แท่นเพื่อรอเวลาสังหารชีวิตของเขา ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงก้อง หนักแน่นและเนิบช้าดังลอดออกมาท่ามกลางเสียงกู่ตะโกนของบรรดาสตรีและเด็ก เสียงนั้นกล่าวขึ้นว่า
"หากพวกท่านจะอนุญาตให้ฉันทำการละหมาด 2 ร็อกอะฮฺ ก่อนความตายจะมาถึง ก็จะเป็นการดียิ่งแก่ฉัน..."
 
แล้วเขาก็มองไปยังคุไบบซึ่งกำลังหันหน้าไปทางอัลกะอฺบะฮฺ และก็ละหมาด 2 ร็อกอฮฺ มันช่างเป็นการละหมาดที่เรียบร้อยและสมบูรณ์ยิ่ง หลังจากนั้นสะอีดก็มองเห็นคุไบบหันหน้าไปยังบรรดา ผู้นำชาวกุเรชแล้วกล่าวขึ้นว่า
"ฉันขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ หากฉันไม่เกรงว่าพวกท่าน จะนึกว่าฉันละหมาดเสียนานเพราะกลัวความตายละก็ ฉันจะละหมาดให้นานกว่านี้..."
 
แล้วนาทีสุดท้ายแห่งชีวิตของ คุไบบ ก็มาถึง สะอีดเฝ้ามองดูพวกกุเรชใช้อาวุธทุกชนิดเข้าห้ำหันร่างกายของคุไบบอย่างโหดร้ายทารุณที่สุด แล้วพวกเขาก็กล่าวเชิงเยาะเย้ยคุไบบว่า ท่านจะพอใจหรือไม่ที่จะให้ มุฮัมมัด มายืนแทน เพื่อให้ท่านรอดพ้นจากการทรมานครั้งนี้?
 
คุไบบ ได้กล่าวตอบพวกกุเรชออกไป ทั้งๆ ที่เลือดกำลังไหลพุ่งออกมาจากร่างกายของเขาว่า
ฉันขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮฺ ฉันไม่ปรารถนาที่จะได้รับความปลอดภัยและมีความสุขท่ามกลางครอบครัวของฉัน โดยปล่อยให้มุฮัมมัด ได้รับอันตรายแม้กระทั่งถูกเสี้ยนหนามตำ ทันใดนั้นฝูงชนก็ชูมือขึ้นแล้วตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า ฆ่ามันเสีย! ฆ่ามันเสีย...!
 
สะอีด อิบนฺ อามิร ซึ่งกำลังจับตามองคุไบบ ทุกอิริยาบท เห็นเขาทอดสายตาขึ้นไปเบื้องบนพลางกล่าวว่า
 (اللهم أحصهم عددًا، واقتلهم بددًا، ولا تبق منهم أحدًا)
"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ขอพระองค์ทรงนับจำนวนพวกเขาไว้ แล้วฆ่าอย่างทรมานเสีย อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!"
 
แล้วคุไบบก็สิ้นลมหายใจเฮือกสุดท้าย โดยไม่มีใครสามารถนับจำนวนแผลที่ถูกแทงถูกฟันจากหอกและคมดาบให้ครบถ้วนหลังจากเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว พวกกุเรชพากันกลับเข้าสู่มักกะฮฺ โดยไม่ใยดีต่อสภาพการสูญเสียชีวิตของ คุไบบ
 
แต่ชายหนุ่มที่กำลังย่างเข้าสู่วัยเบญจเพศ สะอีด อิบนฺ อามิร อัลญุ มะฮีย์ นั้นเล่า! ภาพของคุไบบ ซึ่งพวกชาวกุเรชได้เปล่งเสียงร้องแสดงความดีใจ เป็นภาพที่ประทับตาของเขาอย่างไม่มีวันลืมเลือน สะอีดมองเห็นคุไบบ ในฝันเมื่อเขานอน เวลาตื่นก็เห็นเป็นภาพหลอนตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพการละหมาด 2 ร็อกอะฮฺ ท่ามกลางมหาชนกับเสียงกังวาฬก้องหูทั้งสองขณะที่เขาขอพรต่ออัลลอฮฺตะอาลาให้ลงบะลาอฺแก่พวกมุชริกีน เกรงไปว่าพระองค์จะทรงให้ฟ้าผ่าลงมา หรือจะมีก้อนหินโปรยลงมาจากท้องฟ้า
 
นอกจากนั้นแล้ว คุไบบยังสอนให้สะอีดรู้ในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย...สอนให้เขารู้ว่าการมีชีวิตอยู่ที่แท้จริงนั้นคือ การศรัทธาและการเสียสละในทางของการศรัทธาจนกระทั่งตาย สอนเขาว่าการศรัทธาที่แท้จริงนั้น ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์และแปลกประหลาดได้อย่างน่าปาฏิหารย์ และสอนเขาอีกว่า บุคคลซึ่งบรรดาสาวกรักเขาอย่างท่วมท้นนี้ แท้จริงก็คือ นะบี ที่ได้รับการสนับสนุนจากฟากฟ้านั่นเอง!
 
ณ บัดนั้นเอง อัลลอฮฺ ตะอาลาทรงเปิดหัวใจของ สะอีด อิบนฺ อามิร ให้เข้าสู่อิสลาม เขาจึงยืนขึ้นท่ามกลางฝูงชน ประกาศการปลีกตัวของเขาออกจากการกระทำอันน่าอัปยศ และบาปขั้นอุกฤษณ์ของพวกกุเรช และไม่ใยดีหรือเข้าไปใกล้รูปปั้นและเจว็ดต่างๆอีกต่อไป พร้อมกับประกาศว่าเขาได้ยอมรับนับถือศาสนาที่แท้จริงของอัลลอฮฺแล้ว
 
สะอีด อิบนฺ อามิร ได้อพยพไปยังนครอัลมะดีนะฮฺเฝ้าติดตามท่านร่อซูลลุลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในสงครามค็อยบัรและสงครามครั้งอื่นๆ อีกหลายครั้ง ขณะที่ท่านร่อซูลลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถึงอะญัลของอัลลอฮฺ ท่านพอใจสะอีดมาก หลังจากนั้นสะอีดก็ยังคงเป็นทหารคนสนิท และกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในสมัยของ ค่อลีฟะฮฺ อะบูบักรฺ และค่อลีฟะฮฺอุมัร ได้ใช้ชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดีของมุอฺมินที่สละแล้วซึ่งโลกดุนยา เพื่อโลกอาคิเราะฮฺ เทอดทูนความโปรดปรานความพอใจของอัลลอฮฺ และหวังการตอบแทนจากพระองค์เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด
 
ท่านค่อลีฟะฮฺของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทั้งสองท่าน ตระหนักดีถึงความสัจจะและการตักวาของสะอีด อิบนฺ อามิร เป็นอย่างดี ท่านทั้งสองจึงรับฟังข้อคิดเห็นและการแนะนำของสะอีดในทุกโอกาส เมื่ออุมัร อิบนฺ อัลค็อฏฏ๊อบ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นค่อลีฟะฮฺคนที่สอง สะอีดได้เข้าไปหาท่านแล้วกล่าวขึ้นว่า
 
โอ้ อุมัรเอ๋ย! ฉันขอร้องให้ท่านยำเกรงอัลลอฮฺในเรื่องของมนุษย์ และอย่ากลัวมนุษย์ในเรื่องของอัลลอฮฺ อย่าให้คำพูดของท่านผิดไปจากการกระทำของท่าน เพราะการพูดที่ดีนั้นจะต้องตรงกับการปฏิบัติ... โอ้ อุมัรเอ๋ย! จงเอาใจใส่ต่อผู้ที่อัลลอฮฺแต่งตั้งเป็นตัวแทนของท่าน เพื่อพี่น้องมุสลิมทั้งที่ใกล้และที่ไกล จงรักใคร่เพื่อพวกเขาเหมือนกับที่ท่านรักเพื่อตัวของท่านเอง จงรักใคร่เพื่อพวกเขาเหมือนกับที่ท่านรักเพื่อตัวของท่านเอง และญาติพี่น้องของท่าน และจงเกลียดชังเพื่อพวกเขา เสมือนกับที่ท่านไม่ชอบที่จะให้ได้แก่ตัวท่าน และญาติพี่น้องของท่าน จงเข้าสู่สมรภูมิเพื่อแสวงหาความจริงและอย่าได้เกรงกลัวข้อครหาของมนุษย์แต่ประการใด
 
อุมัรกล่าวแก่สะอีดว่า แล้วใครเล่าจะสามารถปฏิบัติเช่นนั้นได้ ? โอ้ สะอีดเอ๋ย! เขาตอบว่า คนที่สามารถปฏิบัติได้ก็คือ บุคคลเช่นเดียวกับท่านจากผู้ที่ อัลลลอฮฺตะอาลา ทรงแต่งตั้งเขาเพื่อดูแลกิจการของประชาชาติมุฮัมมัด และไม่มีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องได้ ระหว่างเขากับอัลลอฮฺ ดังนั้น อุมัร อิบนฺ อัลบค็อฏฏ็อบ จึงขอร้องสะอีดให้ร่วมมือและสนับสนุนเขาโดยกล่าวว่า โอ้ สะอีดเอ๋ย! ฉันขอแต่งตั้งท่านให้ไปปกครองชาวเมือง "ฮิมศฺ" (ขณะนี้อยู่ในประเทศซีเรีย)
 
สะอีดกล่าวตอบว่า : โอ้ อุมัรเอ๋ย! ฉันขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮฺว่า ท่านอย่าทำให้ฉันหลงทางและฝักใฝ่ในเรื่องของดุนยาเลย เมื่ออุมัรได้ยินเช่นนั้นก็โกรธ และกล่าวขึ้นว่า ขอความพินาศจงมีแด่ท่าน พวกท่านเอาตำแหน่งค่อลีฟะฮฺแขวนไว้ที่คอของฉัน แล้วพวกท่านก็จะเอาตัวรอด!! ฉันขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮฺ ฉันจะไม่ยอมปล่อยท่าน แล้วอุมัรก็ได้แต่งตั้งสะอีดให้เป็นผู้ปกครองเมือง "ฮิมศฺ" และกล่าวขึ้นว่า เราจะไม่ตั้งเงินเดือนให้แก่ท่านหรือไง? สะอีดกล่าวว่า ฉันจะเอาไปทำอะไร โอ้! ท่านอะมีรุลมุอฺมินีน เพราะเงินที่ฉันได้รับจากบัยตุลมาล ก็เกินความต้องการของฉันแล้ว 
 
หลังจากนั้นสะอีดก็เดินทางไปรับตำแหน่ง ณ เมือง "ฮิมศฺ" หลังจากนั้นระยะหนึ่ง ก็มีคณะผู้แทนซึ่งเป็นคนสนิทของค่อลีฟะฮฺ ซึ่งเป็นชาวเมือง "ฮิมศฺ" จำนวนหนึ่งได้มาหาค่อลีฟะฮฺ เพื่อรายงานเหตุการณ์และความเป็นอยู่ของชาวเมืองนั้น ท่านค่อลีฟะฮฺจึงได้แจ้งให้คณะผู้แทนว่าขอให้นำรายชื่อผู้ยากจนขัดสนจริงๆ ของชาวเมืองฮิมศฺ เสนอขึ้นมาเพื่อที่จะจัดงบประมาณช่วยเหลือเป็นประจำปี เมื่อค่อลีฟะฮฺได้อ่านรายชื่อแล้ว ปรากฏว่ามีชื่อของ สะอีด อิบนฺ อามิร รวมอยู่ในจำนวนผู้ที่สมควรจะได้รับความช่วยเหลือด้วย อุมัรจึงถามขึ้นว่า ใครเล่าชื่อสะอีด อิบนฺ อามิร? คณะผู้แทนตอบว่า "ก็ผู้ครองเมืองของเราไงเล่าท่าน" ค่อลีฟะฮฺถามว่า "ผู้ครองเมืองของพวกท่านเป็นคนยากจนหรือ ?" คณะผู้แทนตอบว่า ใช่ครับ พวกเราขอสาบานด้วยพระนามอัลลอฮฺว่า วันเวลาได้ผ่านไปเป็นเวลาหลายวัน พวกเราไม่เห็นมีควันไฟออกมาจากบ้านเขาเลย
 
เมื่ออุมัรได้ยินคณะผู้แทนเล่าให้ฟังเช่นนั้น ก็ร้องไห้จนกระทั่งน้ำตาไหลเปียกเคราของท่าน แล้วก็ลุกขึ้นไปนำเงินมาหนึ่งพันดีนารใส่ไปในถุง แล้วกล่าวขึ้นว่า พวกท่านจงอ่านสลามของฉันให้แก่เขาด้วย แล้วบอกกับเขาด้วยว่า อะมีรุลมุอฺมินีน ส่งเงินจำนวนนี้มาเพื่อให้ท่านนำไปใช้จ่ายตามแต่จะเห็นสมควร เมื่อคณะผู้แทนได้มาหาสะอีดพร้อมด้วยถุงเงิน ซึ่งค่อลีฟะฮฺฝากมาให้ เขาได้มองดูถุงนั้นปรากฏว่ามีเงินอยู่ในนั้น พร้อมกับโบกมือให้นำออกไปห่างไปจากเขา แล้วกล่าวขึ้นว่า 
"อินนาลิลลาฮิ วะอินนา ฮิลัยฮิรอญิอูน"
ดูประหนึ่งได้เกิดเหตุใหญ่โตขึ้นกับเขา เมื่อภรรยาของเขาได้ยินก็ตกใจกล่าวขึ้นว่า เกิดอะไรขึ้น โอ้ ! สะอีด ?! อะมีรุลมุอฺมินีน เสียชีวิตกระนั้นหรือ ?! เขาตอบว่า : แต่ว่ามันร้ายยิ่งกว่านั้นเสียอีก นางถามต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นก็เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นกับบรรดามุสลิมนะซิ ?! เขาตอบว่า แต่มันร้ายยิ่งกว่านั้นเสียอีก นางถามว่า ถ้าเช่นนั้นอะไรเล่าที่ร้ายยิ่งนัก เขาตอบว่า โลกดุนยาเข้ามาหาฉันเพื่อทำลายโลกอาคิเราะฮฺ ของฉัน ฟิตนะฮฺได้เกิดขึ้นในบ้านของฉันแล้ว นางกล่าวเสริมว่า ก็จงขจัดมันเสียซิ (โดยที่นางไม่รู้เรื่องเงินที่อะมีรุลมุอฺมินีนฝากมาให้) เขากล่าวตอบไปว่า : ท่านจะช่วยฉันขจัดมันได้ไหม ? นางกล่าวตอบไปว่า : ได้ซี แล้วสะอีดก็ได้นำเงินจำนวนหนึ่งพันดีนารให้ภรรยาของเขาใส่ในถุงเล็กๆแล้วแจกจ่ายแก่บรรดาผู้ยากจนต่อไป
สะอีด อิบนฺ อามิร อัลญุมะฮีย์ : ผู้ยิ่งใหญ่ภายใต้เสื้อที่ขาดรุ่งริ่ง