การงานที่ดีขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนารมณ์ดี

Submitted by dp6admin on Fri, 03/04/2009 - 01:01

 อาจารย์อะหมัด สมะดี ร่อหิมะฮุลลอฮฺ

 مَّثَلُ الَّذِينَ كَفَرُواْ بِرَبِّهِمْ أَعْمَالُهُمْ كَرَمَادٍ اشْتَدَّتْ بِهِ الرِّيحُ فِي يَوْمٍ عَاصِفٍ لاَّ يَقْدِرُونَ مِمَّا كَسَبُواْ عَلَى شَيْءٍ ذَلِكَ هُوَ الضَّلاَلُ الْبَعِيدُ

 

ความว่าอุปมาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขา การงานของพวกเขาประดุจดังขี้เถ้าถ่าน เมื่อลมพัดมันไปอย่างแรงในวันมีพายุ พวกเขาไม่มีอำนาจใดๆ ในการงานที่พวกเขาได้แสวงหาเอาไว้ นั่นคือการหลงทางที่ไกลลิบ” (อิบรอฮีม 18)

บรรดาการงานที่ดีทั้งหลายทั้งปวง เช่นการเสียสละทรัพย์สินเงินทองก็ดี การเสียสละกำลังกายและกำลังความคิดก็ดีเพื่อส่วนรวมและเพื่อมนุษยธรรม ตลอดจนการเสียสละเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในยามตกทุกข์ได้ยาก รวมทั้งการทำบุญสุนทานสาธารณะของบุคคลที่ดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อฟัง ไม่มีความจงรักภักดีและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใช้คำสั่งห้ามของพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ซึ่งพวกเขามั่นใจและมุ่งหวังว่าการงานของพวกเขาจะอำนวยประโยชน์ คือสามารถที่จะช่วยเหลือให้พวกเขาได้พ้นจากความทุกข์ทรมานในวันแห่งการตอบแทนนั้น เปรียบเสมือนกองขี้เถ้าถ่านที่กองอยู่ กลางแจ้ง เมื่อมีลมพายุพัดมาอย่างแรงก็จะหอบเอาขี้เถ้าถ่านไปจนหมดสิ้นไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ครั้นเมื่อถึงวันกิยามะฮฺ บุคคลประเภทนี้แม้จะได้ประกอบทำความดีไว้มากมายสักปานใด เขาก็จะไม่ได้รับการตอบแทนความดีแม้แต่น้อย ในอันที่จะช่วยให้เขารอดพ้นจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าไปได้ ทั้งนี้เพราะคุณงามความดีทั้งหลายที่พวกเขาได้ประกอบไว้นั้น พวกเขามิได้กระทำไปเพราะความเชื่อมั่นหรือด้วยความจงรักภักดีเพื่อมุ่งหวังความโปรดปรานจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา หากแต่กระทำไปเพื่อผลประโยชน์อย่างอื่น

ผู้ดื้อดึงในที่นี้แยกออกได้เป็นสี่ประเภทด้วยกัน คือ

หนึ่ง พวกที่ไม่ยอมเคารพอิบาดะฮฺอัลลอฮฺตะอาลาว่าเป็นพระเจ้า แต่เคารพสักการะสิ่งอื่นนอกจากพระองค์

สอง ผู้ที่มีชาติกำเนิดเป็นมุสลิมและเรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิม แต่ไม่ยอมเชื่อฟังและปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ใช้ให้กระทำ และไม่ยอมละเว้นสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามปรามไว้ นอกจากนี้ยังไม่มีการเคารพอิบาดะฮฺต่อพระองค์อีกด้วย

สาม ผู้ที่แสดงตัวแต่ภายนอกว่าเป็นมุสลิม ทำอิบาดะฮฺแต่ภายนอก เพื่อให้ผู้อื่นมองว่าเขาเป็นมุสลิม แต่จิตใจไม่ยอมปฏิบัติตามสิ่งที่บัญญัติศาสนาใช้ให้กระทำ และไม่ยอมละเว้นสิ่งที่บัญญัติศาสนาห้ามมิให้กระทำ

และสี่ ผู้ที่เลือกถือเลือกปฏิบัติเลือกละเว้นตามอารมณ์ตามความใคร่ความต้องการสิ่งใดที่ไม่สบกับอารมณ์ก็ไม่ยอมเชื่อไม่ยอมปฏิบัติ อันนี้ไม่มีใครที่จะตัดสินชี้ขาดให้ได้นอกจากตัวของตัวเอง

บุคคลทั้งสี่ประเภทดังกล่าวข้างต้นนั้น พระองค์ได้ประณามพวกเขาไว้ในซูเราะฮฺอันนะฮฺลฺ ว่า

 وَمَا ظَلَمَهُمُ اللَّـهُ وَلَـٰكِن كَانُوا أَنفُسَهُمْ يَظْلِمُونَ

ความว่าและเรามิได้อธรรมต่อพวกเขา แต่ทว่าพวกเขาเองต่างหากที่ได้อธรรมต่อตัวของพวกเขา

ผลแห่งความไม่จริงจังในเรื่องของการอีมานศรัทธา หรืออีกนัยหนึ่งการถือศาสนาอย่างเล่น ๆ ย่อมจะก่อให้เกิด สถานการณ์อันเลวร้ายแก่สังคมมนุษย์โดยทั่วไป และยิ่งนับวันก็ยิ่งทวีความเลวร้ายมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้สมจริง ตามที่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้ามีความหมายว่า
"มุสลิมจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น แต่มันเป็นปริมาณที่เหมือนกับ ขยะมูลฝอยที่ลอยมากับน้ำเมื่อเวลาน้ำท่วม”

ประชาชาติในยุคก่อน ๆ นั้น เมื่อบรรดานะบีได้นำสัจธรรมมาเผยแผ่แต่พวกเขาดื้อดึงไม่ยอมเชื่อฟังจะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม พวกเขาจะถูกลงโทษทันทีถึงขนาดล่มจมพินาศไปอย่างทันตาเห็น แต่มาในยุคหลัง ๆ นี้การลงโทษลงทัณฑ์ มิได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน กล่าวคือบะลาอฺหรือเหตุร้าย ภัยพิบัติได้เกิดขึ้นทุกหนแห่ง และนับวันก็จะทวีมากยิ่งขึ้นแต่ มนุษย์ก็ยังไม่รู้สึกตัว ถึงแม้จะโดนกับตนเองหรือครอบครัวของตน จะรู้สึกเศร้าโศรกเสียใจก็เพียงชั่วครู่ชั่วยาม หลังจากนั้นก็กลับมา ใช้ชีวิตอย่างเดิมคือลืมตัวว่าเรานี้หนอกำลังเดินทางไปสู่หลุมฝังศพอย่างแน่นอน

มีรายงานจากอะบีซัรริน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ฉันได้กล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ! คัมภีร์ของท่านนะบีมูซา มีอะไรบ้าง? ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า มีข้อเตือนใจควรแก่การพิจารณาทั้งสิ้น

ฉันรู้สึกประหลาดใจเหลือเกินกับผู้ที่เขามั่นใจว่าจะต้องตายจากโลกนี้ไปแต่เขาก็ยังสนุกสนานร่าเริงอยู่อีก
ฉันรู้สึกประหลาดใจเหลือเกินกับผู้ที่มั่นใจว่ามีนรกแต่เขาก็ยังหัวเราะกันอยู่อีก
ฉันรู้สึกประหลาดใจเหลือเกินกับผู้ที่เชื่อมั่นในกฎสภาวะ (อัลก้อฎออฺอัลก้อดัรฺ) แต่เขาก็ยังเหน็ดเหนื่อยกระวนกระวายอยู่อีก
ฉันรู้สึกประหลาดใจเหลือเกินกับผู้ที่เขาเห็นความไม่เที่ยงแท้ของโลกดุนยาและความไม่แน่นอนของมนุษย์แต่เขาก็ยังมีความมั่นใจและอบอุ่นใจอยู่อีก
ฉันรู้สึกประหลาดใจเหลือ เกินกับผู้ที่มีความเชื่อมั่นต่อการสอบสวน คือชำระบุญบาปในวันกิยามะฮฺ แต่เขาก็ยังมิได้ประกอบการงานอะไรไว้เลย


สังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ มนุษยธรรม จริยธรรม ศีลธรรม กำลังจะเสื่อมสลายไป จนกระทั่งเกือบจะไม่เป็นที่รู้จักกันหรือจะหมดสิ้นไปจากสังคมมนุษย์ ความเห็นอกเห็นใจความรักใคร่ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ความรู้สึกแห่งการเป็นพี่น้องมุสลิม ความเป็นญาติพี่น้องกำลังจะสูญสิ้นไปจากสังคมมนุษย์ อันเนื่องมาจากการอีมานศรัทธาของมนุษย์ได้เสื่อมคลายลงจนกระทั่งเปอร์เซ็นต์ที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเขาเหลืออยู่น้อยมากและมีอาการที่น่าเป็นห่วง ทั้งนี้เพราะสังคมของพวกเรากำลังเลียนแบบสังคมที่มิใช่มุสลิม ซึ่งกำลังเป็นข่าวครึกโครมในหน้าหนังสือพิมพ์ นั่น ก็คือมนุษยธรรม จริยธรรมและศีลธรรมของอิสลามไม่เป็นที่รู้จักกันแล้วในสังคมมุสลิม สิ่งที่กำลังแพร่หลายและเป็นค่านิยมในสังคมยุคปัจจุบันนี้ก็คือ การเห็นแก่ตัว การเข่นฆ่า การเหยียดหยาม การไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดเหตุร้ายนานาประการ ภัยพิบัติ เคราะห์กรรมต่าง ๆ อันนับได้ว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยให้มุอฺมินตระหนักว่าวันอวสานของแต่ละคนกำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกวันแล้ว มีใครบ้างที่ใช้สติปัญญาครุ่นคิดเพื่อ เตรียมตัวเผชิญกับสถานการณ์อันเลวร้ายหรือสถานการณ์ ที่จะทำให้เกิดความสุขใจ และเป็นที่โปรดปรานของพระผู้ทรง ไว้ซึ่งความยุติธรรม?

การดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์บนผืนแผ่นดินนี้มีขอบเขตจำกัด วันเวลาของเขาที่จะประกอบการงานแต่ละวันก็มีขอบเขตจำกัดเช่นเดียวกัน ความปรารถนาของเขาที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีเกียรติเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคน ในขณะเดียวกันความต้องการของเขาบนผืนแผ่นดินนี้ไม่มีที่สิ้นสุดและความหวัง อยากได้ในสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวของเขาและห่างไกลจากตัวของเขาก็ไม่มีขอบเขตจำกัด และไม่มีที่สิ้นสุดเช่นเดียวกัน

แต่มนุษย์ทุกคนจะต้องตายอย่างแน่นอน……เขาจะต้องตายทั้ง ๆ ที่เขายังมีความอยากได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่มนุษย์จะตาย อัลลอฮฺตะอาลาทรงแจ้งให้เขาได้ทราบและเห็นเครื่องหมายต่าง ๆ อย่างชัดแจ้งว่า วันเวลาแห่งการสิ้นสุดของจักรวาลนี้กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกวินาที ทุกคนอย่าได้นิ่งนอนใจผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เลย ในซูเราะฮฺมุฮัมมัด อายะฮฺที่ 18 พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า

 

 فَهَلْ يَنظُرُونَ إِلَّا السَّاعَةَ أَن تَأْتِيَهُم بَغْتَةً فَقَدْ جَاء أَشْرَاطُهَا  
ความว่า “พวกเขาจะรอคอยวันอวสานให้มันมาหาพวกเขาโดย กระทันหันกระนั้นหรือ? แน่นอนเครื่องหมายของมันได้มาถึงแล้ว…”

 

ในเมื่อทุกคนตระหนักกันดีแล้วว่า ความตายจะต้องเกิดขึ้น แก่เขาสักวันหนึ่งอันใกล้นี้ แต่มนุษย์ก็ยังหลงลืมและหลงไหลไปกับ สภาพแวดล้อมและความผันแปรของเหตุการณ์ อีกทั้งยังเคลิบ เคลิ้มไปกับการยั่วยวนและชักนำของชัยฏอนมารร้ายทำให้เขา เพลิดเพลินไปกับความอยากได้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ในที่สุดเขาก็ตก เป็นทาสของมันโดยไม่รู้สึกตัว ทั้งนี้เพราะว่าสาเหตุแห่งความยุ่งยาก และปั่นป่วนของสังคมทุกสังคมไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็คือการที่สมาชิกของสังคมนั้น ๆ มีจิตใจแข็งกระด้าง ไม่คำนึงถึงเหตุผล และความถูกต้องมีแต่ความอยากได้ และที่สำคัญยิ่งก็คือไม่มีการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ไม่มีความยำเกรงต่อพระองค์ ไม่นำพาต่ออายาตต่าง ๆ ของพระองค์ทั้งที่เป็นข้อใช้และข้อห้าม เรื่องของจิตใจและหัวใจนี้เป็นเรื่องที่จะต้องพูดถึงและกล่าวถึงกันอยู่เสมอ ดังนั้ขอให้เรามาพิจารณาดูอายาตต่าง ๆ ที่พระองค์ได้กล่าวถึงเรื่องของหัวใจกันบ้าง บางทีความยุ่งยากและความปั่นป่วนที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในสังคมมนุษย์อาจจะเบาบางลงบ้างก็ได้ อินชาอัลลอฮุ ตะอาลา พระองค์ได้ตรัสไว้ในซูเราะฮฺอัซซุมัร อายะฮฺที่ 22-23 ว่า

أَفَمَن شَرَحَ اللَّهُ صَدْرَهُ لِلْإِسْلَامِ فَهُوَ عَلَى نُورٍ مِّن رَّبِّهِ فَوَيْلٌ لِّلْقَاسِيَةِ قُلُوبُهُم مِّن ذِكْرِ اللَّهِ أُوْلَئِكَ فِي ضَلَالٍ مُبِينٍ

ความว่า “ผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงเปิดหัวอกของเขาเพื่ออิสลาม เขาก็จะอยู่บนแสงสว่างจากพระเจ้าของเขา (จะเหมือนกับคนที่มีจิตใจแข็งกระด้าง) กระนั้นหรือ? ดังนั้นความหายนะจงประสบแด่ผู้ที่หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้างจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ชนเหล่านี้อยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง” (39:22)

اللَّهُ نَزَّلَ أَحْسَنَ الْحَدِيثِ كِتَاباً مُّتَشَابِهاً مَّثَانِيَ تَقْشَعِرُّ مِنْهُ جُلُودُ الَّذِينَ يَخْشَوْنَ رَبَّهُمْ ثُمَّ تَلِينُ جُلُودُهُمْ وَقُلُوبُهُمْ إِلَى ذِكْرِ اللَّهِ ذَلِكَ هُدَى اللَّهِ يَهْدِي بِهِ مَنْ يَشَاءُ وَمَن يُضْلِلْ اللَّهُ فَمَا لَهُ مِنْ هَادٍ

ความว่า "อัลลอฮฺทรงประทานคำกล่าวที่ดียิ่งลงมา คือคัมภีร์ที่คล้องจองกล่าวซ้ำ บรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขานั้นขนที่ผิวหนังจะลุกชัน ผิวหนังของพวกเขาและหัวใจของพวกเขาจะอ่อนลงเพื่อรำลึกถึงอัลลอฮฺ นั่นคือการฮิดายะฮฺของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงชี้แนะทางด้วยการฮิดายะฮฺแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงปล่อยให้เขาหลงทาง เขาผู้นั้นจะไม่มีผู้ชี้แนะทางแก่เขา” (39:23)

อุปมาเมื่อน้ำฝนตกลงมาจากฟากฟ้าก็จะทำให้พืชพันธ์ุต่าง ๆ ชุ่มฉ่ำมีชีวิตชีวา ออกดอกออกผลนานาชนิดดั่งเช่นหัวใจ ที่มีการรำลึกถึงอัลลอฮฺ มีความยำเกรงพระองค์ รำลึกถึงข้อใช้ข้อห้ามของพระองค์ หัวใจประเภทนี้พระองค์จะทรงประทานให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้น หัวใจเหล่านี้จะมีแต่ความดื่มด่ำในรสชาติของการอีมาน มีขีวิตชีวา ยิ้มแย้มแจ่มใส เบิกบานกระปรี้กระเปร่า เคลื่อนไหวไปในทางที่สร้างสรรค์ ในทางตรงกันข้ามหัวใจอีกประเภทหนึ่งก็คือหัวใจที่แข็งกระด้าง มันเป็นหัวใจบอด ไม่มีชีวิตชีวา ไม่ชุ่มฉ่ำ ไม่เบิกบาน ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นหัวใจที่ตายด้าน มืดมน ไม่ยอมรับแสงสว่างแห่งความจริงและความถูกต้อง

ส่วนในอายะฮฺที่สองพระองค์ทรงกล่าวถึงสภาพแห่งการตอบรับต่ออัลกุรอานของบรรดามุอฺมินที่มีความยำเกรงพระองค์ เพราะคัมภีร์ฉบับนี้มีความสอดคล้องเหมาะสม โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อแตกต่างทั้งในแนวทางแห่งการชี้แนะในวิญญาณ และความดีเด่นของมัน คัมภีร์นี้มีความคล้องจองกล่าวซ้ำ ในวรรคตอนของมัน ในประวัติความเป็นมาของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในข้อชี้แนะต่าง ๆ และภาพลักษณ์ต่าง ๆ ของมันแต่มันจะไม่แตกต่างและขัดแย้งกันเอง ทว่ามันจะกล่าวซ้ำในเรื่องต่าง ๆ ต่างวาระต่างกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับฮิกมะฮฺในอันที่จะบรรลุสู่เป้าหมายของมัน

บรรดาผู้ที่มีความยำเกรงพระเจ้าของพวกเขาบรรดา ผู้ที่รักษาขอบเขตข้อใช้ข้อห้ามของพระองค์จะดำรงชีวิต อยู่อย่างปกติสุขด้วยความระมัดระวัง ด้วยความเกรงกลัว ด้วยความหวัง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นการตอบแทนของพระองค์ พวกเขาจะตอบรับการรำลึกนี้ด้วยความสั่นสะเทือน ด้วยความประทับใจ ด้วยความนอบน้อม แล้วจิตใจของพวกเขาก็จะสงบสุข

“พึงรู้เถิดด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺเท่านั้นจะทำให้หัวใจสงบสุข”