อายะตุลกุรซียฺ 3 : หนึ่งในสี่ของอัลกุรอาน

Submitted by dp6admin on Mon, 19/04/2010 - 17:23

.آية الكرسي ربع القرآن

อายะตุลกุรซียฺเป็นหนึ่งในสี่ของอัลกุรอาน

حَدَّثَنِي سَلَمَة بْن وَرْدَان أَنَّ أَنَس بْن مَالِك حَدَّثَهُ أَنَّ رَسُول اللَّه - صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - سَأَلَ رَجُلًا مِنْ صَحَابَته فَقَالَ أَيْ فُلَان هَلْ تَزَوَّجْت ؟ قَالَ : لَا وَلَيْسَ عِنْدِي مَا أَتَزَوَّج بِهِ قَالَ أَوَلَيْسَ مَعَك : قُلْ هُوَ اللَّه أَحَد ؟ قَالَ بَلَى قَالَ " رُبُع الْقُرْآن " قَالَ " أَلَيْسَ مَعَك قُلْ يَا أَيّهَا الْكَافِرُونَ ؟ قَالَ بَلَى قَالَ رُبُع الْقُرْآن قَالَ أَلَيْسَ مَعَك إِذَا زُلْزِلَتْ ؟ قَالَ : بَلَى قَالَ رُبُع الْقُرْآن قَالَ أَلَيْسَ مَعَك إِذَا جَاءَ نَصْرُ اللَّه ؟ قَالَ بَلَى . قَالَ رُبُع الْقُرْآن قَالَ أَلَيْسَ مَعَك آيَة الْكُرْسِيّ اللَّه لَا إِلَه إِلَّا هُوَ ؟ قَالَ بَلَى قَالَ رُبُع الْقُرْآن .

จากสะละมะฮฺ อิบนุวัรดาน จากท่านอนัส อิบนุมาลิก รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถามเศาะฮาบะฮฺท่านหนึ่งว่า "ท่านแต่งงานหรือยัง?" เขาตอบว่า "ยัง ฉันไม่มีอะไร(ทรัพย์สิน)ที่จะแต่งงาน" นบี  ก็บอกว่า "ท่านท่องจำกุ้ลหุวัลลอฮุอะหัดมิใช่หรือ?" เขาตอบว่า "ใช่" ท่านนบี ก็บอกว่า "นี่ไงท่านมีหนึ่งในสี่ของอัลกุรอานแล้ว, และท่านท่องอิซาซุลซิลัตมิใช่หรือ? เขาตอบ "ใช่" ท่านนบีก็บอกว่า นี่ก็อีกหนึ่งในสี่ของอัลกุรอาน และท่านมิได้ท่องอิซาญาอะนัศรุลลอฮฺหรือ? เขาตอบว่า "ใช่" ท่านนบี ก็บอกว่า นี่ก็อีกหนึ่งในสี่ของอัลกุรอาน และท่านมิใช่อายะตุลกุรซียฺหรือ ? เขาตอบว่า "ใช่" ท่านนบี บอกว่า นี่ก็อีกหนึ่งในสี่ของอัลกุรอาน

หะดีษนี้มีปัญหาในด้านสายสืบเล็กน้อย แต่อิมามอิบนุกะษีร ในตอนท้ายของเรื่องความประเสริฐของอายะตุลกุรซียฺท่านบอกว่าได้คัดเลือกหะดีษที่เชื่อถือได้ และได้คัดหะดีษเมาฎูวฺออกไป แต่ที่หยิบยกมาเพราะมีหะดีษอื่นที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับหะดีษนี้เช่น กุ้ลหุวัลลอฮุอะฮัด แต่หะดีษนี้จะสื่อความหมายอย่างหนึ่งคือ ในมุมมองของท่านนบีและบรรดาเศาะฮาบะฮฺนั้นคือ อัลกุรอานเป็นทรัพย์สิน เป็นสิ่งที่เพิ่มพูนซึ่งความประเสริฐและความสูงส่ง เพราะมีหะดีษบันทึกในศ่อฮี้ฮฺบุคอรียฺที่ท่านนบี อนุญาตให้เศาะฮาบะฮฺแต่งงานด้วยมะฮัรที่เป็นอัลกุรอาน คือให้สอนอัลกุรอานแก่ภรรยาเมื่อแต่งงานกันแล้ว แสดงว่าอัลกุรอานกลายเป็นทรัพย์สินที่มีคุณค่า ทำให้คนสามารถมีครอบครัวได้ คนที่อยากมีบารมี มีชื่อเสียง ทั้งในชีวิตและเมื่อเสียชีวิตแล้ว ในสมัยเศาะฮาบะฮฺก็มีแต่อัลกุรอาน ท่านนบี บอกว่าชาวอัลกุรอานก็คือ "อะฮฺลุลลอฮฺ" คือเสมือนครอบครัวของอัลลอฮฺ คนใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ ฉะนั้นในสังคมสมัยนบีจะเรียกนักปราชญ์ที่มีความรู้ว่า อัลกุรรออฺ (พหูพจน์ของ "กอริ",ไม่ใช่ "กอรี" ที่อ่านอัลกุรอานเป็นทำนองแต่ไม่รู้ความหมาย)

อิบนุอุมัรได้แถลงนโยบายการศึกษาสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม คือเรียนรู้กับท่านนบี 5 อายะฮฺ ท่องและศึกษาให้เข้าใจความหมาย รวมทั้งปฏิบัติอย่างลึกซึ้งแล้วจึงจะศึกษาอายะฮฺต่อไป แต่นโยบายการศึกษาแบบนี้สังคมเราขาดไป มุสลิมในปัจจุบันจึงเหมือนฟองน้ำ ไม่มีเนื้อ มีแต่ท่องและรู้คร่าวๆ หรือรู้ระดับหนึ่ง ขาดผู้รู้ที่แท้จริง เพราะระบบการศึกษาปัจจุบันไม่ได้เน้นภาคปฏิบัติ ไม่มีการสำรวจมารยาทของนักเรียนนักศึกษาในสถาบันว่าสอดคล้องกับอัลกุรอานและซุนนะฮฺหรือไม่ เพราะครูเองก็ยังขาดคุณธรรมบางประการ เช่น ครูบางคนสูบบุหรี่, ซื้อหวย, ไม่ละหมาด, ไม่คลุมหิญาบ ฯลฯ

ภาคปฏิบัติของอายะตุลกุรซียฺจะปรากฏได้อย่างไรถ้าเราไม่ศึกษาอย่างลึกซึ้ง อายะฮฺนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮฺตะอาลา แสดงว่าเราต้องรู้จักอัลลอฮฺอย่างลึกซึ้ง สนิทสนมและใกล้ชิดกับพระองค์ ต้องเข้าใจว่าพระเจ้าคืออะไร? คือใคร? ต้องการอะไร? สถานะของอัลลอฮฺเป็นอย่างไร? เหล่านี้เป็นคำถามสำคัญที่มุสลิมต้องศึกษา ต่างจากศาสนาที่ไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่เห็นความสำคัญของการมีพระเจ้า เขาเชื่อว่าการมีอยู่ของพระเจ้ามิได้มีความเกี่ยวข้องกับความสุขทุกข์ของมนุษย์ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าพระเจ้าจะมีอำนาจควบคุมการดำเนินชีวิตของมนุษย์ได้อย่างไร อายะตุลกุรซียฺจะให้คำตอบและหลักฐานที่ชัดเจนสำหรับคนที่เชื่อใน "ธรรมชาติ" (แต่ไม่เชื่อในพระเจ้า) ว่านั่นไม่ใช่คำตอบที่เพียงพอสำหรับคนที่อยากจะไม่มีความทุกข์ในโลกนี้

----------------------------------------

อัลกุรอานมีเป้าหมายให้เราสืบทอดเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเป็นรูปธรรมในฐานะที่เป็น "เคาะลีฟะฮฺ" ของอัลลอฮฺบนโลกนี้ พวกท่านและผมสามารถที่จะมองตัวเองและตอบได้ว่า ขณะนี้ท่านเป็นเคาะลีฟะฮฺของอัลลอฮฺหรือไม่? เป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของอัลลอฮฺมากน้อยแค่ไหน? หมายความว่าคำสั่งสอนของอัลลอฮฺฉันได้ปฏิบัติให้ประจักษ์กับคนทั่วไปว่านี่คือตัวแทนของอัลลอฮฺมากน้อยแค่ไหน หรือเราเป็นตัวแทน(หรือเคาะลีฟะฮฺ)ของ "อารมณ์" ของเรา หากเราไปที่ไหนก็ทำในสิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่อัลลอฮฺต้องการ ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น "ตัวแทน" ของอัลลอฮฺ

ท่านเชคมุฮัมมัดอัลอะมีน อัชชังกีฏียฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัฎวาอุลบะยาน ว่า "คนที่มีอัลกุรอานและไม่ปฏิบัติตามอัลลอฮฺ เปรียบเสมือนกษัตริย์องค์หนึ่งได้เขียนพระราชบัญญัติของเขาขึ้นมา และส่งไปยังเมืองต่างๆที่อยู่ใต้อำนาจเขา และสั่งตัวแทนให้ปฏิบัติตามคำสั่งของกษัตริย์ เจ้าเมืองต่างๆ ก็นำพระราชบัญญัติของกษัตริย์มาอ่านให้ชาวเมืองฟัง ว่าท่านสั่งให้ทำอย่างนี้ๆ แต่พวกท่านอย่าทำ ให้ทำอย่างอื่น" นี่แหละคือประชาติอิสลาม มีอัลกุรอานที่อัลลอฮฺประทานให้มาแล้ว อ่านแล้วแต่กลับไม่เอา ไม่นำกฎหมายจากอัลกุรอานมาใช้ เลือกใช้กฎหมายสากล การปกครองด้วยอัลอิสลามเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจของอัลกุรอาน (เรื่องนี้อธิบายไว้อย่างละเอียดในเรื่อง คิลาฟะฮฺ 1-4)

การเป็นเคาะลีฟะฮฺ(ตัวแทน)มีหลายระดับ ตั้งแต่ส่วนตัว (อวัยวะ จิตใจ จรรยามารยาท) ครอบครัว สังคม จนถึงระดับรัฐ ซึ่งถ้าหากเรามองว่าเรื่องการปกครองในแต่ละระดับเหล่านี้ไม่เกี่ยวพันกับหลักการศาสนาและอัลกุรอาน ก็แสดงว่าเรายินยอมที่จะใช้ชีวิตตามพวกเซคิวลาร์ ตามแบบตะวันตก ที่ต้องการให้เราใช้ชีวิตแบบสากล มีมารยาทดีตามที่สังคมยกย่องให้เกียรติ แต่ไม่ได้กลับไปดูว่ามารยาทดีตามกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺเป็นอย่างไร ดูว่าสังคมยกย่องสรรเสริญใคร เราก็ทำตามคนนั้น สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นจากการที่เราทำลายอำนาจการปกครองชีวิตของอิสลามไป

เมื่อปลายปี ค.ศ.1923 จักรวรรดิอังกฤษประกาศให้อียิปต์เป็นอิสระจากการปกครองของคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ ซึ่งในตอนนั้นอียิปต์เป็นประเทศที่มีความสำคัญทางด้านศาสนามากที่สุดในโลกมุสลิม นั่นคือกระสุนแรก และกระสุนที่สองคือการทำลายระบบคิลาฟะฮฺ โดย  กมาล อตาเติร์ก (แม่มีเชื้อสายยิว ได้รับการศึกษาจากตะวันตก) ที่ปกครองตุรกีด้วยระบบชาตินิยม อาณาจักรอิสลามที่เคยยิ่งใหญ่ตั้งแต่อินเดีย อัฟริกา บอสเนีย ยุโรปตอนใต้ กองทัพของอุษมานียะฮฺใกล้จะเข้ากรุงเวียนนา ออสเตรีย แต่เมื่อประสบปัญหาใหญ่สองปัญหาคือ อาณาจักรศ็อฟวียะฮฺของอิหร่านและปัญหาชาตินิยมตุรกีที่เริ่มมีบทบาทต่อต้านอำนาจของคอลีฟะฮฺ

และเมื่อวันที่ 3 มี.ค. ค.ศ.1924 คิลาฟะฮฺสุดท้ายของอิสลามถูกทำลายไป และประกาศว่าประเทศตุรกี* ไม่ใช่กฎหมายอิสลาม ไม่อนุญาตให้สวมสะระบั่น ไม่อนุญาตให้อะซานด้วยภาษาอาหรับ ไม่ให้สวมชุดอุละมาอฺมุสลิม ต้องสวมสูท ช่วงที่ กม้าล อตาเติร์ก มีชีวิตอยู่ อิสลามแทบจะไม่เหลือให้เห็นเลยในตุรกี นั่นคือเป้าหมายของตะวันตก ไม่ใช่เพื่อถล่มคิลาฟะฮฺ แต่ต้องการถล่มอำนาจของอัลกุรอาน อาลิมคนแรกที่ขึ้นศาลถูกพิพากษาด้วยข้อครหาว่า ดูหมิ่นระบอบประชาธิปไตย เพราะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ยึนยันที่จะโพกสะระบั่นและสวมชุดอาลิม อาลิมท่านนี้ก็ถามว่า เบื้องหลังท่านมีธงตุรกี ท่านจะเอาเอาธงนี้มาฉีกหรือเหยียบได้ไหม? ผู้พิพากษาบอกว่าไม่ได้ นี่เป็นสัญลักษณ์ของชาติ อาลิมท่านนี้ก็บอกว่า ถ้าคุณมองว่าผ้าที่ทาสีกลายเป็นสัญลักษณ์ของชาติที่ต้องให้คนเคารพและร้องเพลงชาติ ฉันก็ยอมรับว่าสิ่งที่ฉันสวมนี้เป็นสัญลักษณ์ของอิสลาม ท่านจะบังคับให้ถอดไม่ได้

ในฐานะที่เราเป็นผู้ศรัทธาและมีหน้าที่ในการวิเคราะห์เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เรื่องการถล่มคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺเป็นเรื่องที่เราต้องศึกษาให้เข้าใจอย่าลึกซึ้ง ในการบรรยายเรื่อง เมื่อผู้นำตกต่ำ : คิลาฟะฮฺอุษมานิยะฮฺ บทเรียนที่ต้องจดจำ
 

-----------

* กุสตอนตีนียะฮฺ เมืองหลวงของอาณาจักรโรมันตะวันออก (ปัจจุบันคือ อิสตันบูล, ตุรกี) ถูกพิชิตโดย มุฮัมมัดฟาติหฺ เคาะลีฟะฮฺที่ 8 ของอาณาจักรอุษมานียะฮฺ
 


เรียบเรียงจาก ซูเราะตุลบะเกาะเราะฮฺ 126 (ความประเสริฐของอายะตุลกุรซียฺ), เชคริฎอ อะหมัด สมะดี, 6 มี.ค. 2548

WCimage
อายะตุลกุรซียฺ 3 : หนึ่งในสี่ของอัลกุรอาน