เยาวชนหนุ่มสาวมุสลิมกำลังดำเนินชีวิตไปในทิศทางใด?

Submitted by dp6admin on Mon, 11/01/2010 - 11:37

เราสามารถที่จะระบุภยันตรายหลากหลายที่กำลังคุกคามเยาวชนหนุ่มสาวมุสลิมในยุคปัจจุบัน ซึ่งอันตรายเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาหันเหออกจากศาสนาและหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง และยังบังคับให้พวกเขาต้องละทิ้งข้อปฏิบัติต่างๆของศาสนาอีกด้วย แต่สิ่งที่เป็นภยันตรายร้ายแรงที่สุดคือการคืบคลานเข้ามาของแนวความคิดซึ่งแฝงมาในรูปของความสวยงามอันฉาบฉวยและความสุขอันจอมปลอมของโลกดุนยา แนวความคิดนี้ยังได้แฝงสิ่งที่เป็นความคิดและความเชื่อหรือหลักศรัทธาที่ผิดๆ และได้พยายามดึงดูดผู้คนทีละนิดด้วยการใช้ความสวยงามและความสุขอันจอมปลอมของโลกดุนยา จนตกเป็นตัวประกันหรือทาสของแนวความคิดนี้...

แนวความคิดนี้ก็คือสิ่งที่เราเรียกว่า แนวความคิดการทำให้เป็นตะวันตกหรือตัฆรีบ (التغريب) ในความหมายโดยรวมนั่นเอง...หรือที่เราเรียกว่าสงครามอารยธรรมทางความคิด ที่ตะวันตกได้พยายามเผยแพร่ไปทุกหนแห่งในโลกมุสลิม ซึ่งสงครามนี้ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เป็นรถถัง ปืนใหญ่ แต่ใช้แนวการดำเนินชีวิตแบบตะวันตกเป็นอาวุธ โดยเฉพาะมุมมองของโลกตะวันตกต่อการมีชีวิต ต่อสรรพสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการดำรงชีวิต ภาพยนตร์  ศิลปะ วรรณคดี จริยธรรม ปรัชญา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตบนโลกดุนยา...นั่นคือ “การทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในการดำเนินชีวิตเป็นรูปแบบของตะวันตก”

เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่บรรดาผู้หลงกลและตกเป็นเหยื่ออันดับแรกๆของสงครามนี้ก็คือเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ไม่มีอะกีดะฮฺที่เข้มแข็ง และไม่มีป้อมปราการคือหลักศรัทธาที่ถูกต้องในการปกป้องตัวเอง จึงถูกชักจูงด้วยสิ่งสวยงามจอมปลอมของวัฒนธรรมตะวันตก ทำให้ตกอยู่ในการมอมเมาของมัน ถูกดึงดูดด้วยสิ่งมหัศจรรย์และความความเจริญทางเทคโนโลยีของมัน

ความจริงแล้วแนวความคิดเลียนแบบตะวันตกนี้เป็นอันตรายต่อประชาชาติอิสลามมาตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เพราะสงครามชนิดนี้ไม่มีศัตรูเป็นกำลังทหาร ไม่ใช้ระเบิดหรือรถถังในการทำสงคราม และไม่ใช้วิธีการยึดครองดินแดนหรือควบคุมน่านน้ำ แต่กลับใช้วิธีที่นุ่มนวลในการยึดครองหัวใจของมุสลิม จนสามารถที่จะหลอกลวงประชาชาติอิสลามโดยมิต้องเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว และยังใช้ให้พี่น้องมุสลิมด้วยกันเองเป็นเครื่องมือจนทำให้กลอุบายของตะวันตกมีความโอหังและยากที่จะถูกขัดขวาง ทำให้เรื่องกุฟรฺนั้นถูกเสริมเติมแต่งด้วยคำพูดที่สวยงาม และอาจจะถูกเชิญชวนไปสู่กุฟรฺโดยคนชื่อ อะหมัด หรือ มุฮัมมัด หรือคนที่ใส่หมวกกาปีเยาะฮฺถือตัสเบียะหฺก็เป็นได้

อาจารย์อันวัร อัลจุนดี (أنور الجندي) ซึ่งเป็นนักเผยแผ่ศาสนาที่มีชื่อเสียงได้กล่าวว่า “ประสบการณ์ ได้สอนเราว่าบรรดาผู้ที่ลอกเลียนแบบประชาชาติอื่นนั้นพวกเขามักจะเป็นประตูหรือทางเข้าให้ศัตรูได้เข้ามา และหัวสมองความนึกคิดของพวกเขาจะเป็นศูนย์รวมยาพิษต่างๆ เพราะพวกเขาได้ให้ความยิ่งใหญ่และให้ความสำคัญกับคนที่พวกเขาลอกเลียนแบบมา และพวกเขาจะกลายเป็นกองทัพส่วนหน้าของศัตรู และเป็นต้นทางให้ศัตรูได้เข้ามาทำลายศาสนาจนกระทั่งได้รับชัยชนะและมีอำนาจบารมี  (หนังสือ “สิ่งที่เป็นข้อคลุมเครือและข้อบกพร่องที่พบได้บ่อยในแนวคิดอิสลาม” อันวาร์ อัลญุนดี หน้า224 โดยคัดลอกจากบทความเรื่อง “มุสลิมและปัญหาความอ่อนแอทางจิตใจ” โดย อับดุลลอฮฺ อัล ซะบานะฮฺ)

เชคมุฮัมมัด อัลค็อฎรฺ -ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน- (الشيخ محمد الخضر) อดีตเชคอัลอัซฮัรได้เคยกล่าวว่า “ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่หันเหจากหลักการที่เที่ยงตรงนั้นเมื่อใด ที่เขามีตำแหน่งมีอำนาจบารมี เขาจะสร้างฟิตนะฮฺความวุ่นวายในศาสนาให้เกิดขึ้นกับประชาชาติและจะฝ่าฝืนสิ่งที่เป็นข้อห้ามของศาสนาและจะไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาของประชา ชาติ และเหล่าผู้ศรัทธาจะได้รับความอธรรมการข่มเหงรังแกจากเขา แต่พวกที่ตามอารมณ์ใฝ่ต่ำนั้นจะได้รับการช่วยเหลืออย่างดีจากเขา และเขาก็จะกลายเป็นคนเชิญชวนให้ผู้คนหันเหออกจากศาสนา ทำให้สิ่งดีงามและความเป็นห่วงต่อศาสนาและสิทธิของประชาชาติต้องถูกทำลายไป คงเหลือไว้เพียงเชือกแห่งความสามัคคีของประชาชาติที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ”  ( “สารแห่งการบูรณาการ” 101/1 คัดลอกจากหนังสือข้างต้น)

ใช่...นี่คือสภาพเยาวชนคนหนุ่มสาวของประชาชาติในยุคปัจจุบันนี้...

และนอกจากฟิตนะฮฺทางศาสนาที่เห็นได้ชัดเจนแล้วยังมีฟิตนะฮฺอื่นๆที่จะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวไปสู่แนวความคิดที่ผิดเพี้ยน ซึ่งดูภายนอกอาจจะเหมือนแนวความคิดที่เห็นอกเห็นใจศาสนา แต่ความจริงแล้วมันกลับเป็นแนวความคิดของศัตรู

และสิ่งที่เราได้เห็นกับตาในสังคมมุสลิมเรานั้นคือการถูกพัดพาไปโดยแนวความคิดตะวันตก หรือเราสามารถเรียกได้ว่าเป็นแนวความคิดแบบคริสต์ เพราะแท้จริงแล้วแนวความคิดตะวันตกนั้นก็คือแนวความคิดที่สวมใส่สิ่งที่เป็นมรดกจากศาสนาคริสต์นั่นเอง

ความจริงแล้วเราคิดว่าแนวความคิดดังกล่าวจะเกิดขึ้นเฉพาะกับคนธรรมดาที่ไม่มีความรู้ความสามารถในสังคมมนุษย์เท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าแนวความคิดนี้ยังได้แพร่กระจายไปสู่กลุ่มคนที่เป็นที่นับหน้าถือตาและเคารพนับถือของสังคม ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิทยาศาสตร์หรือด้านศิลปะวรรณคดี จนกลายเป็นแนวความคิดที่ฝังแน่นอยู่ในแวดวงวิชาการจนพวกเขากลายเป็นเสมือนโทรโข่งหรือโฆษกให้กับตะวันตก ใช้คำศัพท์และวิธีการพูดแบบตะวันตก และเรียกร้องไปสู่แนวความคิดตะวันตกโดยปราศจากความละอาย  (ดูหนังสือ “ป้อมปราการของเรากำลังล่มสลายจากข้างใน” และหนังสือ “อิสลามและอารยธรรมตะวันตก” โดย ดร.มุฮัมมัด มุฮัมมัด ฮุเซ็น และหนังสือ “การตกศาสนา” โดย ญามาล ซุลฎอน และหนังสือ “การกลับมาของฮิญาบ” เล่มที่หนึ่ง โดย เชค มุฮัมมัด อิสมาอีล)

 
นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่ “การตื่นตัว”ครั้งนี้กำลังประสบก็คือ การแฝงตัวเข้ามาของแนวความคิดทางศาสนาของตะวันตกโดยใช้ชื่อใหม่ว่า แนวความคิดอิสลามที่ส่องแสง (الإسلام المستنير) ซึ่งแนวความคิดนี้สามารถแพร่ขยายในวงการศาสนาได้เป็นอย่างดีและยังสามารถที่จะหลอกล่อและดึงบรรดานักเผยแผ่ (الدعاة) ให้เป็นสมาชิกของแนวความคิดนี้เพื่อที่จะฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากบรรดานักเผยแผ่เหล่านี้ในการทำลายชื่อเสียงและเป้าหมายของ “การตื่นตัว”นี้

แนวความคิดอิสลามส่องแสงนี้ได้ให้การต้อนรับและสนับสนุนแนวความคิดการให้เป็นตะวันตก โดยใช้ถ้อยคำและเหตุผลทางศาสนาที่ผิดๆในการสนับสนุนดังกล่าว และอ้างว่าเพื่อผลประโยชน์ของศาสนาเพื่อตัจดีดศาสนา(ทำให้ทันสมัย) และอ้างเรื่องเปลี่ยนแปลงฟัตวาเมื่อยุคสมัยเปลี่ยน รวมถึงอ้างความเหมาะสมของสถานการณ์และความจำเป็นที่จะต้องเปิดรับ และไม่ปิดกั้นสิ่งใหม่ที่เข้ามา หรือข้ออ้างอื่นๆที่มีจุดประสงค์ในการสนับสนุนแนวความคิดตะวันตก และจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบอิสลามให้เป็นศาสนาที่เชื่อง ไม่นิยมการต่อสู้ และไม่รู้สึกกับสิ่งอธรรม และไม่ตำหนิสิ่งที่เป็นกุฟรฺและการตั้งภาคี

มีอีกจำพวกหนึ่งซึ่งอาจจะมีความอิคลาศและความหวังดีต่อศาสนา แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ทางจิตวิญญาณให้กับตะวันตก และความพ่ายแพ้นี้ทำให้เขาต้องประกาศการตัดขาดกับทุกสิ่งในอิสลามที่ตะวันตกเหมาว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งโหดร้ายรุนแรง จนกลายเป็นว่าจำเป็นต้องมีการเรียบเรียงหลักการที่แท้จริงของศาสนาขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะได้สอดคล้องกับอิสลามแบบที่ตะวันตกต้องการ จนบางครั้งเราอาจได้ยินคนกล่าวว่า การญิฮาดในอิสลามนั้นเป็นสิ่งที่ถูกอนุโลมให้ทำได้แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำ เป็นที่ศาสนาส่งเสริมให้กระทำคือทำได้ในเวลาที่จำเป็นเวลาที่ถูกโจมตีเท่านั้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วบรรดานักวิชาการอิสลามต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ญิฮาดุฏเฏาะลับ(جهاد الطلب - คือ ญิฮาดที่เป็นแบบการไปพิชิตดินแดนที่ไม่ใช่ดินแดนมุสลิม) นั้นเป็นฟัรฏูกิฟายะฮฺเมื่อมีความสามารถและทำได้ทุกยุคทุกสมัย หรือบางทีเราอาจจะได้ยินบางคนกล่าวว่า การหย่าร้างนั้นจริงๆแล้วในอิสลามถือว่าเป็นสิ่งหะรอมและสามีไม่สามารถหย่าภรรยาได้ยกเว้นในกรณีที่มีความจำเป็นอย่างสูงสุดเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นแล้วมันจะแตกต่างอะไรกับศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกที่ห้ามการหย่าร้าง ต่อมาอนุมัติในกรณีจำเป็น..แล้วไหนล่ะอิสลามของเรา???  (ดูบทความของ ญามาล ซุลฎอน ในหนังสือ “วิกฤตการณ์ทางศาสนา”)

และเนื่องจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หนังสือบรรณานุกรมฉบับง่าย  (บรรณานุกรมอย่างง่ายว่าด้วยเรื่องศาสนา มัซฮับและกลุ่มต่างๆในปัจจุบัน เผยแพร่โดย สมัชชายุวมุสลิมโลก (WAMY) หน้า 715) ได้ถือว่าการตัฆรีบ(التغريب) หรือการทำให้เป็นตะวันตกนั้นเป็นการโจมตีต่ออิสลามของคริสต์และไซออนิสต์(ยิว) และจักรวรรดินิยมในเวลาเดียวกันที่รวมกันเพื่อเป้าหมายอันเดียวกัน นั่นคือการทำให้ประชาชาติอิสลามมีรูปแบบเหมือนกับตะวันตก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการลบภาพลักษณ์หรือตัวตนที่แท้จริงของอิสลาม และแน่นอนว่าเยาวชนคนหนุ่มสาวมุสลิมกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าได้ตกเป็นเหยื่อ อันดับแรกของแนวความคิดตะวันตกนี้ อันเป็นเหตุให้ความเป็นตัวตนมุสลิมนั้นเจือจางลง และทำให้ภาพของอิสลามต้องมัวหมองในสายตามุสลิมเอง และทำให้เกิดกลุ่มเยาวชนที่ขี้ขลาดไม่สามารถแบกรับภาระการเผยแผ่ศาสนาต่อมนุษยชาติได้ ทำให้การเผยแพร่ของอิสลามต้องถูกขัดขวางไม่สามารถที่จะช่วยเหลือและปลดปล่อย มนุษยชาติจากความตกต่ำล่มสลายได้

มุมมองหรือทัศนะเกี่ยวกับวิธีการต่อสู้กับแนวความคิดอันตรายดังกล่าวนั้นมีความแตกต่างกันไป ทุกๆทรรศนะต่างก็เป็นมุมมองที่มีพื้นฐานอยู่บนสิ่งที่ตนเองคุ้นเคยใกล้ชิด และคิดว่ามีประโยชน์และมีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด แต่จากข้อเขียนและสิ่งเรียกร้องหลากหลายของบรรดานักวิชาการ นักคิด นักเผยแผ่แ ละนักบูรณาการของอิสลามในช่วงหลังๆนี้จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเห็นตรงกันว่าสิ่งที่ “การตื่นตัว”ของเยาวชนกำลังประสบอยู่ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าในการเคลื่อนไหวแ ละความบกพร่องในการปฏิบัติ และความล้มเหลวในบางเรื่องนั้นสาเหตุหลักเกิดจากการปล่อยปละละเลยไม่ให้ความสำคัญกับเยาวชนคนหนุ่มสาวซึ่งเป็นพลังสำคัญในการเคลื่อนไหวทางสังคม

สถิติของประชากรในประเทศมุสลิมบางประเทศได้ชี้ให้เห็นว่า เปอร์เซ็นต์ของคนหนุ่มสาวนั้นมีเกือบครึ่งและอีกบางประเทศมีมากกว่าครึ่งหนึ่ง และไม่มีใครสามารถคัดค้านว่ากลุ่มชนคนหนุ่มสาวนี่แหละคือกลุ่มชนที่มีพลังมากที่สุดในสังคม และเป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการพัฒนาต่างๆในการสร้างอารยธรรมและความเจริญรุ่งเรืองให้กับประชาชาติและสังคม และด้วยความจริงสองข้อคือ
   1. เยาวชนคนหนุ่มสาวนั้นกำลังขาดแคลนเรื่องการศึกษาอบรม
   2. เยาวชนคนหนุ่มสาวนั้นเป็นก ลุ่มชนที่สำคัญที่สุดในสังคม

ไม่ผิดเลยที่เราจะกล่าวว่าผู้ที่ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาของกลุ่มคนหนุ่มสาวนี้เป็นผู้ที่บกพร่องอย่างมาก เริ่มต้นจากการมองปัญหาให้เป็นปัญหาหรือการรู้จักปัญหา จนถึงการใช้หลักการศึกษาที่ถูกต้องต่อกลุ่มคนหนุ่มสาว


หนังสือ เยาวชนมุสลิม...ความหวังของประชาชาติอิสลาม, ชัยคฺริฎอ อะหมัด สมะดี