ความจำเป็นของประชาชาติในการปลูกฝังสั่งสอนและยกระดับคุณภาพเยาวชนหนุ่มสาว

Submitted by dp6admin on Mon, 11/01/2010 - 10:28

หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ(หรือออตโตมัน)แล้ว ประเทศคริสต์ที่ได้วางแผนและพยายามล้มระบบคิลาฟะฮฺดังกล่าวทั้งหลาย ประเทศตะวันตกต่างก็คิดว่าศาสนาอิสลามนั้นได้จบสิ้นแล้ว และมุสลิมจะไม่มีวันลุกขึ้นมายืนหยัดได้ต่อไปอีก

ซึ่งแท้จริงแล้ว ความพยายามของพวกเขานั้นยาวนานมากกว่าหนึ่งศตวรรษ  โดยเริ่มจากการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสต่อประเทศอียิปต์และจบลงด้วยการประชุม “โลซาน” อันเป็นการประชุมที่ประเทศมหาอำนาจได้บังคับให้ยกเลิกระบบคีลาฟะฮฺซึ่งเป็น ข้อแม้ในการรับรองอิสรภาพของประเทศตุรกี หลังจากที่ตุรกีถูกทำลายล้างโดยสงครามที่ได้ถูกวางแผนมาเพื่อขัดขวางการเป็น มหาอำนาจของตุรกี

ประเทศคริสต์ไซออนิสต์เหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ทำลายระบบการเมือง(ซึ่งหมายถึงการไม่มีอำนาจรัฐที่คอยปกป้องผลประโยชน์ของประชาติ อิสลามแล้ว)เท่านั้น แต่ยังได้พยายามทำลายศรัทธาและความเป็นอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมุสลิม ในทั่วทุกมุมโลกที่อยู่ภายใต้ศาสนาอันเดียวกัน กิบลัตและอิบาดะฮฺอันเดียวกัน โดยการสร้างระบบศาสนาใหม่ภายใต้แนวคิดความเจริญและความทันสมัยให้กับมุสลิม (ระบบแบ่งแยกอาณาจักรออกจากศาสนจักรหรือเซอร์คิวล่า) ซึ่งระบบนี้ทำให้มุสลิมคิดว่าพวกเขาได้ยึดมั่นในศาสนาที่ถูกต้องแล้ว จนกระทั่งแนวคิดนี้ได้แบ่งแยกศาสนาออกจากการปกครองและเศรษฐกิจ และจำกัดศาสนาให้เป็นเพียงเรื่องของการทำอิบาดะฮฺ อีกทั้งยังหันเหมุสลิมออกจากการให้ความสำคัญกับด้านอื่นๆของศาสนา เช่น มุอามะลาต(การปฏิบัติซึ่งกันและกัน) จีนายาต(ระบบการการลงโทษ) การเมืองและอื่นๆ


หลังจากการล่มสลายด้านการเมืองการปกครอง ตามด้วยการล่มสลายทางด้านความศรัทธา(อะกีดะฮฺ) จรรยามารยาท รวมไปถึงแนวคิดและสังคม ซึ่งเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนแล้วว่า ดังกล่าวนี้เป็นแผนการของกลุ่มมหาอำนาจในการที่จะทำให้สังคมมุสลิมมีแบบแผน ตามอย่างตะวันตกในทุกๆด้าน

ไม่เพียงเท่านั้น แต่แผนการดังกล่าวยังได้พยายามเผยแพร่และชักจูงมุสลิมในประเทศอิสลามให้ นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ดังกล่าวเป็นแผนอันสกปรกเลวร้ายคล้ายกับแผนการล่า อาณานิคม ซึ่งสองสิ่งนี้(การเผยแพร่คริสต์และการล่าอาณานิคม)เปรียบเสมือนเป็นสิ่ง เดียวกัน

และที่ใกล้เคียงกับแผนในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ดังกล่าวคือ ประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ยังมีแผนการด้านวัฒนธรรมในการดึงดูดสมองและแนวคิดของ มุสลิม โดยการเปลี่ยนแปลงแนวคิดให้หันเหไปจากหลักการอันบริสุทธิ์(นั่นคืออัลกุรอ่านและซุนนะฮฺของท่านศาสดา) จนเกิดแนวการศึกษาบูรพาคดี(นั่นคือการศึกษาวัฒนธรรมชาวตะวันออกหรืออิสลาม โดยชาวตะวันตก) ซึ่งได้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยของประเทศอิสลามเป็นอย่างมากทั้งในด้านผู้ ศึกษาเองและการวิจัยต่างๆ  นอกจากนี้แนวคิดนี้ยังได้ถูกยกสถานะขึ้นในแวดวงการแนะแนวทางวิชาการในทวีป ต่างๆจนกลายเป็นสิ่งที่ ควบคุมและอยู่เหนือแนวคิดอิสลามที่ถูกต้อง

และด้วยสามสิ่งนี้(การล่าอาณานิคม,การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และแนวคิดบูรพาคดีศึกษา) ทำให้ประเทศอิสลามต้องตกอยู่ภายใต้การยึดครองโดยประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ ทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง ด้านความศรัทธา(อะกีดะฮฺ) และด้านลักษณะแนวคิด

แนวคิดกุฟรฺ(การปฎิเสธศรัทธาอัลลอฮฺ)ได้แผ่ขยาย อย่างเชิดหน้าชูตาและเปิดเผย นอกจากนี้ยังใช้การหลอกลวงและกลอุบายต่างๆ ไปทั่วทุกมุมโลก โดยใช้อำนาจบารมีอันเป็นที่เกรงกลัวของมุสลิมทั่วโลก หรือแม้แต่ใช้บุคคลสำคัญของสังคมมุสลิมในการหลอกล่อมุสลิมว่าผู้ที่ดำเนิน การหลอกลวงและวางกลอุบายต่างๆนั้นแท้จริงแล้วเป็นฝีมือของผู้นำมุสลิมเอง เพื่อที่จะทำให้การต่อต้านนั้นเบาบางลง และทำให้แผนการของพวกเขาดำเนินไปได้โดยปราศจากการขัดขวางหรือการเผชิญหน้า ใดๆจากพวกมุสลิมเอง

เมื่อใดที่ประชาชาติได้พยายามลุกขึ้นต่อสู้เพื่อ ที่จะต่อต้านการล่าอาณานิคมอัน อันเป็นสาเหตุของความเสียหายทางเศรษฐกิจ และความตกต่ำทางสังคมและการการเมืองนั้น ประเทศ ล่าอาณานิคมเหล่านี้ก็สามารถที่จะควบคุมและหยุดยั้งการเคลื่อนไหวนั้นๆได้ จนทำให้ไม่มีการลุกฮือใดๆเกิดขึ้นเว้นแต่จะถูกสยบหรือถูกทำลายภายใต้การกดดันของมหาอำนาจดังกล่าว จนทำให้ประเทศอิสลามต่างๆต้องยอมแพ้และยอมอ่อนข้อต่อประเทศเหล่านั้นด้วยรูป แบบใหม่อันได้แก่การอยู่ภายใต้ม่านกฎหมายระหว่างประเทศ เช่นประชาค มโลก ตลอดจนสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของประเทศสมาชิกถาวรเพียงไม่กี่ประเทศ (สหรัฐอเมริกา,รัสเซีย,ฝรั่งเศส,อังกฤษ และจีน)              

สภาพการณ์หลังจากการล่าอาณานิคมนั้นไม่ได้แตกต่างกับสถานการณ์ก่อนและหลังจากที่ประเทศอิสลามต่างๆได้เอกราช ยิ่งไปกว่านั้นประเทศอิสลามสมัยการล่าอาณานิคมนั้นยังพอที่จะมีอิสรภาพเป็นของตัวเอง แต่หลังจากสิ้นสุดสมัยการล่าอาณานิคมแล้วประเทศอิสลามกลับอยู่ภายใต้แนวคิด อะกีดะฮฺและลอกเลียนการกระทำและการดำเนินชีวิตหรือแม้แต่จรรยามารยาทและค่านิยมของผู้อื่น

สถานการณ์เช่นนี้เป็นที่น่าเศร้าสำหรับคนที่มีความหวงแหนต่อประชาชาติ แต่กลับเป็นสิ่งที่น่ายินดีสำหรับคนที่ชอบเลียนแบบผู้อื่น จนกระทั่งคนเหล่านั้นได้ประกาศตัวและแสดงธาตุแท้ของพวกเขานั่นคือ การเป็นมุนาฟิกที่ร้ายกาจหรือแม้กระทั่งการปฏิเสธศรัทธาอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ศาสนาอิสลามยังได้รับการต่อต้านจากผู้นำประเทศมุสลิมเหล่านั้น แต่ไม่ได้ถูกต่อต้านจากประเทศจักรวรรดินิยมอื่นๆ นอกจากนี้พวกมุนาฟิกเหล่านั้นยังได้เก็บเกี่ยวทำลายส่วนที่ยังพอหลงเหลืออยู่ของศาสนา จนมนุษยชาติคิดว่าอิสลามนั้นกำลังจะตาย แม้กระทั่งเมื่อเดินอยู่ในเมืองใหญ่ของประเทศมุสลิมก็ไม่เห็นความแตกต่างของเมืองมุสลิมกับเมืองกาฟิร

แต่ภายใต้สถานการณ์อันแสนเจ็บปวดและหมอกควันอันหนาทึบกำลังแพร่กระจายไปทั่วทุกสถานที่และภายใต้ความมืดมิดนี้ ยังมีแสงสลัวๆอยู่ ซึ่งมนุษยชาติคิดว่ามันเป็นแสงของดาวดวงเล็กๆที่อยู่ไกลโพ้นจนไม่สามารถส่องสว่างโลกนี้ได้ แต่แสงนี้กลับใหญ่ขึ้นๆจนเป็นแสงอันสมบูรณ์ และนั่นคือแสงสว่างอันเจิดจ้าของอิสลาม ซึ่งได้หวนกลับมาในภาวะที่มีการปฏิเสธ(กุฟรฺ)และการฝ่าฝืนหลักการอิสลามอย่างแพร่หลาย เพื่อที่จะเตือนมนุษยชาติว่าแสงสว่างของเอกองค์อัลลอฮฺนั้นจะยังคงอยู่ต่อไปกับคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า

وَيَأْبَى اللَّـهُ إِلَّا أَن يُتِمَّ نُورَهُ وَلَوْ كَرِهَ الْكَافِرُونَ

...และอัลลอฮฺจะไม่ทรงยินยอมนอกจากจะแพร่ให้แสงสว่างของพระองค์บริบูรณ์ถึงแม้ว่าพวกปฏิเสธศรัทธาจะชิงชังก็ตาม (9:32)

เสียงตะโกนตักเตือนได้ดังขึ้นทุกๆส่วนของโลกจากกะอฺบะฮฺแห่งนครมักกะฮฺ จากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ตลอดจนทุกประเทศอิสลามที่มีเสียงอะซาน และแม้กระทั่งหอคอยโบสถ์คริสต์ในยุโรปและอเมริกา(หลังจากที่โบสถ์เหล่านั้นได้ถูกทอดทิ้งจนถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดแทน)

นั่นคือแสงสว่างแห่งอิสลาม ที่สว่างเจิดจ้าซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีใครรู้ว่าได้เริ่มต้นเมื่อใดแต่เมื่อ มันส่องแสงสว่างแล้วก็ไม่มีอำนาจใดจะสกัดกั้นหรือขัดขวางการแพร่กระจายของมันได้ มันเปรียบเสมือนกับการสร่างของประชาชาติอิสลามจากความเมามายหลายทศวรรษ หรือเปรียบเสมือนการฟื้นจากการหลับใหลมาเป็นเวลาหลายปี และเสมือนการรู้สึกตัวจากการเผลอไผลเป็นเวลานาน แต่กระนั้นมันก็เป็นการตื่นตัวที่มาพร้อมกับความโกรธ เป็นการกลับมาพร้อมกับการปฏิวัติและการคืบคลานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งวันนี้ การกลับมาในครั้งนี้ได้ทำให้โลกแปลกใจและปลุกประชาชาติให้ฟื้นขึ้นจากความตาย บรรดาคนหนุ่มสาว คนชรา เยาวชน สตรีของประชาชาติต่างก็ตื่นตัวและลุกขึ้นสู้เพื่อสนับสนุนการกลับมาดังกล่าว ด้วยความสามารถที่มีอยู่ของแต่ละคน มันเป็นการตื่นตัวของประชาชาติโดยรวมที่แม้แต่บรรดาผู้หยิ่งยโสทั้งหลายต้องน้อมรับ และมันได้กลายเป็นความจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้นอกจากผู้ดื้อรั้นเท่านั้น สมดังที่พระองค์ได้ตรัสว่า

(وأن الله موهن كيد الكافرين)
ความว่า และแท้จริงนั้นคือผู้ที่ทำให้อุบายของพวกปฏิเสธศรัทธาอ่อนแอลง

 


หนังสือ เยาวชนมุสลิม...ความหวังของประชาชาติอิสลาม, ชัยคฺริฎอ อะหมัด สมะดี