โอ้มุสลิมะฮฺ ! จงระวัง

Submitted by dp6admin on Thu, 04/02/2010 - 23:46

 

    มุสลิมเมื่อมีคำสัญญามั่นกับอัลลอฮฺแล้ว ชีวิตของเขาย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ซึ่งเราทุกคนต้องยืนยันในความหมายนี้ ดังที่เราจะเห็นได้จากการที่ศาสนาสอนให้เรากล่าว  “อินนาลิลลาฮิ วะอินนาอิลัยฮิรอญิอูน” เมื่อเราประสบปัญหาหรือมุซีบะฮฺ นั่นก็หมายถึงว่าตัวเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ   ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระองค์ ซึ่งจะต้องไม่มีข้อโต้แย้งในความคิดของบรรดาผู้ศรัทธา ที่จะนำเอาหลักการศาสนามาเป็นธรรมนูญแห่งชีวิตของมุสลิมทุกคน

    สำหรับหลักการหรือมาตรการของอิสลามที่เกี่ยวกับมุสลิมะฮฺโดยเฉพาะ คนส่วนมากอาจจะมองว่าเกี่ยวกับมุสลิมะฮฺเท่านั้น แต่หาใช่เช่นนั้นไม่ เพราะหลักการของศาสนานั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทุกคนในสังคม หลักการบางเรื่องของผู้หญิงนั้น ในอีกแง่มุมหนึ่งจะเกี่ยวข้องกับผู้ชายด้วย เช่น ผู้หญิงจะเป็นภัยสำหรับผู้ชายที่เป็นผู้ปกครองของนางได้หากไม่ปฏิบัติตามหลักการ  ไม่ว่าจะเป็น แม่, ภรรยา, พี่สาว, น้องสาว หรือญาติพี่น้อง ซึ่งเป็นคนใกล้ตัว แต่ผู้ชายที่เป็นผู้ปกครองผู้หญิงกลับไม่มีความรู้เกี่ยวกับบทบัญญัติของผู้หญิง ในทำนองเดียวกันผู้หญิงเองก็ต้องมีความรู้ในหลักการที่เกี่ยวกับผู้ชายด้วยเช่นกัน ดังนั้นเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับหลักการของศาสนา ทุกคนล้วนมีข้อเกี่ยวข้องทั้งสิ้น แต่ความสำคัญจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้หลักการอย่างไร บางคนอาจจะใช้หลักการโดยตรง เช่น เรื่องเฮด(เลือดประจำเดือน) ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมุสลิมะฮฺโดยเฉพาะ จึงจำเป็นสำหรับมุสลิมะฮฺที่จะต้องศึกษาเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เกี่ยวข้องกับผู้ชาย เพราะผู้ชายที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองมุสลิมะฮฺ ก็จะต้องเป็นผู้ให้ความรู้แก่บรรดามุสลิมะฮฺที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา

ท่านนบี   ได้กล่าวถึงอันตรายที่จะประสบกับมุสลิมะฮฺ เนื่องจากการที่นางไม่ดำเนินชีวิตภายใต้บทบัญญัติอิสลาม เพราะถ้าไม่ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ   ก็จะประสบอันตรายอย่างแน่นอน ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า

( يَا مَعْشَرَ النِّسَاءِ تَصَدَّقْنَ وَأَكْثِرْنَ مِنَ الاسْتِغْفَارِ، فَإِنِّيْ رَأَيْتُكُنَّ أَكْثَرَ أَهْلِ النَّارِ ) .  رواه مسلم
ความว่า “โอ้! บรรดาสุภาพสตรีทั้งหลาย พวกเธอจงบริจาคเถิด และจงขออภัยโทษจากอัลลอฮฺอย่างมากมาย เพราะแท้จริงฉันได้เห็นพวกเธอจำนวนมากเป็นชาวนรก” (บันทึกโดยมุสลิม)

การที่ท่านนบี   ได้แนะนำให้ผู้หญิงทำ 2 อย่างคือ การบริจาค และ ขออภัยโทษ ถ้าไม่สามารถทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ก็ให้ทำอีกอย่าง ถ้าไม่สามารถบริจาคก็ให้กล่าว อิสติฆฟาร(ขออภัยโทษ) แต่ถ้าทำได้ทั้งสองอย่างก็ให้ทำไป และการที่ท่านนบี   เห็นบรรดาสุภาพสตรีจำนวนมากอยู่ในนรกนั้น ไม่ได้หมายความว่าในนรกไม่มีผู้ชาย แต่นี่เป็นการเตือนบรรดามุสลิมะฮฺที่อีมานที่จะรับคำแนะนำนี้อย่างเข้าใจ เพราะชาวนรกที่เป็นสุภาพสตรีนั้นส่วนมากคงจะไม่เคยได้รับทราบข้อมูลที่ท่านนบี   ได้บอกไว้ข้างต้น ซึ่งท่านได้ให้เหตุผลไว้ว่า

( تُكْثِرْنَ الَّلعْنَ وَتَكْفُرْنَ العَشِيْرَ)
ความว่า “แท้จริงพวกเธอสาปแช่งคนอื่นมาก และพวกเธอเนรคุณเพื่อนสนิท”

เพื่อนสนิทในที่นี้หมายถึงสามีโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นการเนรคุณคนใกล้ชิด นี่เป็นลักษณะหนึ่งของชาวนรกที่เป็นสุภาพสตรี มีรายงานหะดีษอีกบทหนึ่งที่ท่านนบี    ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับการเนรคุณว่า

( لَوْ أَحْسَنْتَ إِلَى إِحْدَاهُنَّ الدَّهْرَ كُلَّهُ ثُمَّ رَأَتْ مِنْكَ شَيْئَاً قَالَتْ مَا رَأَيْتُ مِنْكَ خَيْرَاً قَطُّ )
ความว่า “ผู้หญิงบางคนทำดีกับนางตลอดชีวิต พอมีปัญหาเพียงเรื่องเดียวเกิดขึ้น กลับกล่าวว่า ฉันไม่เคยเห็นสิ่งดีจากท่านเลย”

    เช่นนี้แหละคือการเนรคุณ มุสลิมทุกคนไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงจะต้องไม่มีนิสัยแบบนี้  เพราะเมื่อเราได้พบสิ่งดีๆ ก็ต้องบอกว่าดี เห็นสิ่งที่ไม่ดีก็ต้องบอกว่าไม่ดี ความยุติธรรมนี้เราจะต้องปฏิบัติกับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ชิด และท่านนบี   ได้กล่าวว่า

( وَمَا رَأَيْتُ مِنْ نَاقِصَاتِ عَقْلٍ وَدِيْنٍ  أَغْلَبَ لِذِيْ لُبٍّ مِنْكُنَّ )
ความว่า “ฉันไม่เคยเห็นสตรีที่ขาดปัญญาและศาสนา ซึ่งสามารถชนะผู้มีปัญญามากกว่าพวกเธอ”

หมายความว่า แม้ผู้หญิงจะขาดสติปัญญาขาดศาสนา แต่สามารถที่จะเอาชนะผู้ชายได้ ดังตัวอย่างที่อัลลอฮฺ   ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอ่านว่า

﴿ إِنَّ كَيْدَ الشَّيْطَانِ كَانَ ضَعِيْفَاً ﴾
ความว่า “แท้จริงอุบายของชัยฏอนเป็นอุบายที่อ่อนแอ” (อันนิซาอฺ 76)

ดังเรื่องราวของนบียูซุฟกับบรรดาสุภาพสตรีและภรรยาของกษัตริย์อียิปต์ ที่ได้ทำอุบายให้ยูซุฟทำซินา แต่ยูซุฟไม่ได้ทำก็เลยวางแผนให้ท่านนบียูซุฟต้องเข้าคุก กษัตริย์เมื่อรู้ว่านี่เป็นอุบายของพวกนางในราชวัง ก็ได้กล่าวว่า

﴿ إِنَّ كَيْدَكُنَّ عَظِيْم ﴾
ความว่า “อุบายของพวกเธอนั้นยิ่งใหญ่จริง ๆ” (ยูซุฟ 28)

ในหะดีษข้างต้น ท่านนบี   ได้กล่าวว่า  (  نَاقِصَاتِ عَقْلٍ وَدِيْنٍ ) “ขาดสติปัญญาและศาสนา” ที่ว่าขาดสติปัญญานั้นไม่ได้หมายถึงว่าคิดไม่เป็น ตามหลักการศาสนานั้น ถือว่าการเป็นพยานของสุภาพสตรีเป็นครึ่งหนึ่งของผู้ชาย (ผู้ชายเป็นพยานคนเดียวใช้ได้ แต่ถ้าพยานเป็นผู้หญิงต้องมี 2 คน) ซึ่งถ้าพิจารณาจากความแตกต่างของสภาพร่างกายระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายในเรื่องต่างๆ รวมทั้งความสามารถและความสะดวกในการเป็นพยานนั้นผู้ชายจะสะดวกกว่าผู้หญิง เช่น ช่วงผู้หญิงมีประจำเดือน จะทำให้สภาพอารมณ์และร่างกายของนางขาดความพร้อมในการเป็นพยาน อะมานะฮฺในการเป็นพยานก็จะบกพร่องไปด้วย

การที่ศาสนาระบุไว้ว่าการเป็นพยานของผู้หญิงต้องมี 2 คน ก็เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการเป็นพยาน และตามหลักการศาสนานั้น ผู้หญิงก็ไม่สมควรที่จะออกไปยุ่งกับเรื่องราวภายนอก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงมีสติปัญญาเพียงครึ่งหนึ่งของผู้ชาย เพราะศาสนาได้ถือว่าการกระทำของผู้หญิงและผู้ชายนั้น เป็นสิ่งที่จะทำให้เขาและเธอได้เข้าสวรรค์เช่นเดียวกัน และศาสนาก็ได้ระบุหน้าที่ของผู้หญิงไว้น้อยกว่าผู้ชาย เนื่องจากความอ่อนแอของผู้หญิง เช่น การญิฮาดนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิง แต่สำหรับผู้ชายแล้วถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น และที่ท่านนบี   บอกว่าศาสนาไม่สมบูรณ์นั้นหมายถึงว่า เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน ก็ไม่ต้องถือศีลอดและละหมาด จึงถือว่าเป็นลักษณะพิเศษของผู้หญิง ซึ่งท่านนบี   ได้บอกว่าลักษณะพิเศษของผู้หญิงแม้ว่าจะมีความอ่อนแอ และความสามารถที่จำกัด ก็สามารถที่จะชนะคนที่มีสติปัญญา(ผู้ชาย)ได้ 

จากคำกล่าวของท่านนบี   ข้างต้นจะเป็นเหตุผลที่ยืนยันว่าผู้หญิงนั้นอ่อนแอ และศาสนาก็ได้ยกเว้นการทำอิบาดะฮฺต่างๆไว้ แต่ก็จะพบกลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้หญิงที่มีพฤติกรรมชอบบ่นมาก สาปแช่งมาก และเนรคุณ ซึ่งมันจะเป็นสาเหตุให้พวกเธอต้องโดนลงโทษหลายเท่า เหมือนคนที่ศาสนาได้ประณามมาก คือคนที่ไม่ควรกระทำความชั่ว เช่น คนอาวุโสแล้วแต่ยังทำซินา ซึ่งบุคคลประเภทนี้ท่านนบี   ได้บอกไว้ว่า ในวันกิยามะฮฺอัลลอฮฺจะไม่มองหน้า (คือไม่มีโอกาสได้รับความเมตตา)

 ปัญหาของบรรดาสุภาพสตรีบางคนคือ การที่พวกเธอไม่อยากเข้าใจตามหลักการศาสนา หรือไม่อยากที่จะทำตัวตามหลักการของศาสนา ซึ่งจะเห็นได้ว่ามุสลิมะฮฺที่ไม่ยึดมั่นในหลักการที่มาจากพระผู้เป็นเจ้านั้น ย่อมจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในทุกสังคม ศาสนาอิสลามจึงได้กำหนดศาสนบัญญัติเพื่อกำชับสุภาพสตรี ให้เห็นว่าพวกเธอเป็นสาหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคม แม้กระทั่ง การฆาตกรรมครั้งแรก(ระหว่างกอบีลและฮาบีล) ที่เกิดขึ้นบนโลกต้นเหตุของปัญหาก็มาจากผู้หญิง  และวัฒนธรรมเองก็เป็นสิ่งที่กำหนดความรู้สึกของสังคม ที่ปลูกฝังอยู่ในจิตสำนึกของคนเหล่านั้น เช่น การคลุมหิญาบของมุสลิมะฮฺที่อัลลอฮฺ   ใช้ให้เธอกระทำ ซึ่งมันเป็นสภาพปกติของมุสลิมะฮฺ ไม่ว่าพวกเธอจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน เว้นแต่เธออยู่กับผู้ที่เป็นมะหฺรอม(คนที่แต่งงานกันไม่ได้) ศาสนาก็อนุโลมให้ถอดหิญาบได้

ท่านนบี   ได้เตือนบรรดาผู้ชายว่า

( إِيَّاكُمْ وَالدُّخُوْلَ عَلَى النِّسَاءِ ، قَالُوْا يَا رَسُوْلَ اللهِ : أَفَرَأَيْتَ الحَمْوَ ؟ قَالَ : الحَمْوُ المَوْتُ ). رَوَاهُ البُخَارِيُّ .
ความว่า “พวกเจ้าจงอย่าเข้าไปสู่กลุ่มของผู้หญิง”
และได้มีชายคนหนึ่งมาถามท่านนบี “โอ้ท่านนบี และสำหรับลูกพี่ลูกน้องและญาติๆ นั้นสามารถเข้าไปอยู่กับบรรดาสตรีได้หรือไม่” ท่านนบีได้ตอบว่า “ญาติๆนี้แหละ คือความตาย” (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ)

การที่เราปฏิบัติตามหลักการศาสนานั้นคือสิ่งที่พอดีแล้ว และอัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในอัลกุรอ่านว่า

﴿ وَأَنَّ هَذَا صِرَاطِيْ مُسْتَقِيْمَاً فَاتَّبِعُوْهُ وَلا تَتَّبِعُوا السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَنْ سَبِيْلِهِ ﴾ الأنعام ١٥٣
ความว่า “และแท้จริง นี่คือแนวทางของข้าอันเที่ยงตรง พวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลายๆทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากแนวทางของพระองค์” (6:153)

มุสลิมะฮฺที่อยากจะเข้าสวรรค์ต้องมีเสบียง 2 ประการ คือ สำรวมตน และ มีอีมาน สตรีที่รักษาหิญาบและรู้ว่าการแต่งตัวตามหลักการของศาสนาคือพระบัญชา ของอัลลอฮฺ   พวกเธอจะมีเป้าหมายแห่งชีวิตและรู้ว่าชีวิตของเธอนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ซึ่งเธอจะเป็นเจ้าของอาณาจักรของครอบครัว และมีหน้าที่รักษาความมั่นคงแห่งอาณาจักรของเธอ

ท่านนบี   ได้กล่าวว่า

 رَوَاهُ أَحْمَدُ وَابْنُ حِبَّان ( إِذَا صَلَّتِ المَرْأَةُ خَمْسَهَا، وَصَامَتْ شَهْرَهَا، وَحَصَّنَتْ فَرْجَهَا، وَأَطَاعَتْ زَوْجَهَا، قِيْلَ لَهَا: ادْخُلِيْ الجَنَّةَ مِنْ أَيِّ أَبْوَابِ الجَنَّةِ شِئْتِ) .   
ความว่า “หากผู้หญิงคนหนึ่งคนใดรักษาเวลาละหมาด 5 เวลา ถือศีลอดในเดือนรอมฎอนเรียบร้อย เชื่อฟังสามี(ในสิ่งที่ถูกต้อง) อัลลอฮฺจะบอกกับผู้หญิงคนนี้ว่า เชิญเข้าสวรรค์จากประตูไหนก็ได้” (บันทึกโดยอะหมัดและอิบนิฮิบบาน)

อุปสรรคที่ขัดขวางการปฏิบัติอิบาดะฮฺของมุสลิมะฮฺ คือ การดูละคร, การคุยโทรศัพท์, การใช้อินเตอร์เน็ต ส่วนอุปสรรคในการสำรวมตน คือ นัฟซูของตัวเธอ  และศัตรูอิสลามที่ต้องการให้มุสลิมะฮฺตามแฟชั่นของเขา เพราะแฟชั่นนั้นจะสวนทางกับหลักการของท่านนบี

สิ่งที่อยู่ในตัวของบรรดามุสลิมะฮฺที่จะทำให้พวกนางเข้านรก ได้แก่ ความอิจฉา ซึ่งท่านนบี   ได้กล่าวว่า

( الحَسَدُ يَأْكُلُ الحَسَنَاتِ كَمَا تَأْكُلُ النَّارُ الحَطَبَ). رَوَاهُ ابْنُ مَاجَة
ความว่า “ความอิจฉาจะทำลายความดี อุปมาดังไฟที่มันเผาฟืน” (บันทึกโดยอิบนฺมาญะฮฺ)

คือความอิจฉานั้นจะทำลายผลบุญที่ได้ทำไว้ การนินทาก็เป็นสิ่งอันตรายสำหรับผู้หญิงเช่นกัน เพราะส่วนมากผู้หญิงจะว่างกว่าผู้ชาย การทำอุบายหรืออุปกรณ์ในการทำอุบาย เช่น โทรศัพท์ การพูดคุยระหว่างสตรีในเรื่องส่วนตัวของชาวบ้าน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องระหว่างสามีภรรยา อันเป็นพฤติกรรมที่ได้ประสบมาหลายครั้งหลายคราว ว่าเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิด ฟิตนะฮฺเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากนำกิเลสและอารมณ์ใฝ่ต่ำมาเป็นที่ตั้งในการพูดถึงปัญหาของผู้อื่น มิใช่หมายรวมว่าไม่ให้พูดถึงปัญหาต่างๆ แต่อิสลามสอนว่าเมื่อมีความต้องการจะเอ่ยถึงผู้อื่นนั้น ถ้าเป็นสิ่งที่จะทำให้เสียหายก็ไม่ควรระบุนามจะได้ไม่เป็นการนินทา แต่ในกรณีที่มีความจำเป็น ต้องระบุนาม อาทิเช่น ขอคำฟัตวาคำปรึกษาในกรณีเฉพาะ ก็จำเป็นต้องระมัดระวังและพยายามกล่าวถึงผู้อื่นด้วยความยุติธรรม แต่สำหรับคนชั่วที่ประพฤติผิดและประกาศตนโดยไม่ละอาย คนเหล่านี้การพูดถึงพฤติกรรมของเขาไม่ถือว่าเป็นการนินทา อาทิเช่น คนดื่มสุราโดยเปิดเผย หรือคนที่พูดถึงพฤติกรรมอันชั่วร้ายของเขาอย่างภูมิใจ ซึ่งคนประเภทนี้ก็ต้องได้รับการตักเตือนจากสังคมอย่างต่อเนื่อง

อนึ่ง การนินทาใส่ร้ายนั้นเป็นสาเหตุหลักที่จะก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม มุสลิมะฮฺควรที่จะเป็นผู้ประสานสมัครสมานเมื่อเกิดความขัดแย้ง เพราะอุปนิสัยของสตรีย่อมมีความสุขุม อันเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสันติสุขระหว่างผู้ที่ขัดแย้งกัน

 

 

 

WCimage
โอ้มุสลิมะฮฺ ! จงระวัง