หิญาบของมุอฺมินาต 4

Submitted by dp6admin on Tue, 01/12/2009 - 16:05

.

มารยาทและมนุษยสัมพันธ์ มีดังนี้

๑)  มีความรู้ในการสร้างความสามัคคีกับผู้อื่น

การสร้างญะมาอะฮฺมุสลิมะฮฺด้วยกัน ไม่ใช่เก็บตัวอยู่ในบ้าน  มีตัวอย่างหนึ่ง มุสลิมะฮฺคนหนึ่งในประเทศซีเรีย ปัจจุบันอายุประมาณ ๗๐ ปี เริ่มตั้งกลุ่มทำงานด้านศาสนาแก่มุสลิมะฮฺตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี มีการทำงานเป็นกลุ่มและขยายวงกว้างไปทั่วโลก เพราะมีการอบรมมุสลิมะฮฺเพื่อทำงานด้านศาสนา มีการติดตามผลงานและให้ฟัตวาของมุสลิมะฮฺคนนี้ในหลายๆ ประเทศ  นี่เป็นกลุ่มที่มีคุณภาพทั้งด้านศาสนาและการศึกษาสูง หากมีมุสลิมีนที่ต้องการแต่งงานกับมุสลิมะฮฺที่ดีก็จะหาจากกลุ่มนี้ รวมทั้งในกลุ่มจะมีการอบรมสตรีด้วยกันในเรื่องของการเป็นภรรยาและแม่ที่ดี ด้วย เหมือนเป็นการฟื้นฟูบทบาทของท่านหญิงอาอิชะฮฺ สมัยก่อนท่านหญิงจะดูแลมุสลิมะฮฺในเมืองมะดีนะฮฺ เมื่อมุสลิมะฮฺคนใดจะนิกาหฺ ท่านหญิงอาอิชะฮฺจะเรียกมาอบรมการเป็นภรรยา,เแม่,เป็นผู้ที่รับผิดชอบอนาคต ครอบครัว โดยศึกษาจากซูเราะฮฺอันนูร เป็นตัวอย่างที่น่าจะมีการฟื้นฟูขึ้นมาในกลุ่มมุสลิมะฮฺ

 

๒)  การพัฒนาบุคลิกภาพ  เป็นสิ่งจำเป็นมาก อดีตเราอาจจะเป็นคนที่ขยันทำกิจกรรมต่างๆ แต่เป็นกิจกรรมที่ไม่ถูกต้องอย่างดูหนังฟังเพลงแล้วเราขยันทำหน้าที่เหล่า นี้ แต่พอกลับเนื้อกลับตัวคลุมหิญาบแล้วแต่เก็บตัวไม่ทำงานเพื่ออิสลามหรือแม้ แต่จะเรียกร้องเพื่อนๆ ให้มาคลุมผมยังไม่ทำ กลับคิดว่าธุระไม่ใช่ สรุปได้ว่าชอบทำเรื่องไม่ดี เรื่องใกล้ชิดศาสนากลับเห็นแก่ตัว แต่ถ้าเราเป็นมุสลิมจริงๆ เราต้องรักกันห่วงใยสังคมเราที่จะถูกดึงสู่หายนะ ต้องชักชวนกันสู่สิ่งที่ดีขึ้น เสมือนเรากับชัยฏอนกำลังแย่งเนื้อที่กันในสังคม ชัยฏอนกำลังดึงสู่นรก เรากำลังดึงสู่สวรรค์  ในอัลกุรอานอัลลอฮฺได้ตรัสไว้มีความว่า “ผู้ศรัทธาที่เรียกร้องไปสังคมสู่ความดี เมื่อฉันเรียกร้องพี่น้องไปสู่สวรรค์ แต่พวกท่านกลับเรียกร้องฉันไปสู่นรกทำไมกัน”

 

บทบาทของเราจะไม่ประสบความสำเร็จ หากบุคลิกภาพของเราเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่มีคุณภาพ ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ซึ่งต้องพัฒนา มุสลิมที่ทำงานศาสนาเมื่อเห็นคนไม่ดีอย่ารังเกียจหรือนิ่งเฉย เพราะหากเราไม่ชักจูงพวกเขาใครจะทำ ยกตัวอย่าง ในประเทศซาอุฯ เชคอิบนุอุซัยมีนอายุ ๖๐ กว่าปีเป็นอุละมาอฺที่มีชื่อเสียงมีบารมีอย่างมากในสังคมซาอุดี วันหนึ่งเชคอิบนุอุซัยมีนเดินไปละหมาดที่มัสยิดพร้อมลูกศิษย์ ระหว่างทางท่านพบเด็กกำลังเล่นฟุตบอลอยู่และจะเข้าไปเตือนโดยบอกให้ลูกศิษย์ ไปที่มัสญิดก่อน ท่านไปคุยกับเด็กกลุ่มนั้นแต่พวกเขาไม่ฟัง ท่านเลยใช้วิธีการนั่งอยู่กลางสนามไม่ยอมให้เล่นบอลและรอจนกว่าพวกเขาจะไป ละหมาดพร้อมท่าน สุดท้ายพวกเขาก็ยอมตามท่านไป ถึงมัสยิดเลยได้รู้ความจริงว่าท่านคือเชคอุซัยมีน นี่คือตัวอย่างว่าหากเราไม่ลงไปสัมผัสกับผู้อื่น แล้วใครจะไปตักเตือนและหาข้อมูลเพื่อรับรู้ปัญหาและหาทางช่วยเหลือหากสามารถ ทำได้ แต่หากยังไม่มีความสามารถหรือศักยภาพ ควรจะรอไว้ก่อนเพื่อไปศึกษาเพิ่มพูนความรู้  การจะเข้าไปหาอย่าเพิ่งไปคาดหวังเขาจะตอบรับทันที ต้องประเมินสถานการณ์ก่อน ถ้าคิดว่าทำแล้วดีก็ให้ทำ

 

ทั้งหมดนี้ เป็นองค์ความรู้เพื่อจะพัฒนาศักยภาพของมุสลิมะฮฺของเรา มุสลิมะฮฺเราเมื่อคลุมหิญาบแล้ว ถือเป็นการเริ่มชีวิตที่มีคุณภาพ แต่ไม่ใช่คลุมหิญาบหรือคลุมหน้าแล้วหายไปจากสังคมเลย สังคมต้องการมุสลิมะฮฺที่คลุมหิญาบเรียบร้อยเข้ามาบริหารสังคม(ในส่วนที่มุสลิมะฮฺทำได้)

 

มีนักวิชาการบางท่านให้ทรรศนะว่า การทำงานศาสนานั้นทำกับผู้หญิงได้ผลมากกว่า เพราะผู้หญิงหากเป็นคนที่เก่งมีบุคลิกภาพดีแล้วสามารถเปลี่ยนแปลงครอบครัว ได้ทั้งหมด  เพราะฉะนั้นถ้าทำให้มุสลิมะฮฺเปลี่ยน แปลงได้สังคมก็เปลี่ยนได้โดยปริยาย นี่เป็นความจริงส่วนหนึ่ง บางครั้งการพูดเรื่องศาสนากับสามีแล้วสามีเปลี่ยนคนเดียวภรรยาไม่ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงมันก็ยาก แต่ต้องคู่ขนานกันไปด้วยกันจะยิ่งดี อยากให้พี่น้องลองประเมินดูว่าเราทำอะไรได้มากแคไหนเพื่อสังคมเรา หากว่าเราเพิ่มพูนศักยภาพในบุคลิกต่างๆ ของเรา ทำให้เราเป็นคนที่ไม่ใช่มีเพียงหิญาบอย่างเดียวแต่เป็นหิญาบที่มีพลัง  มีข้อเสนอที่ว่ามักมีการใช้สำนวนว่า หิญาบปิดกายปิดใจ  ซึ่ง เป็นสำนวนที่ไม่น่านำมาใช้เพราะในอัลกุรอานได้พูดถึงเรื่องปิดบังหัวใจในทาง ที่ไม่ดี ควรใช้สำนวนว่า คลุมหิญาบแล้วเปิดใจ หมายถึงเป็นการปิดบังเอาเราะฮฺแต่เปิดหัวใจในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในสังคม หากมีมุสลิมะฮฺที่สูงด้วยศักยภาพสัก ๑๐๐ คนในหมู่บ้านหรือชุมชนเพราะมุสลิมะฮฺสามารถเข้าถึงผู้หญิงด้วยกันง่ายกว่า

 

การทำงานศาสนาไม่ใช่หน้าที่ของผู้ชายอย่างเดียวเป็นหน้าที่ของมุสลิมะฮฺด้วย การที่มุสลิมะฮฺจะปิดตัวจากสังคมเลยนั้นไม่ถูก จริงอยู่หลายคนมีหน้าที่ในการทำอย่างดูแลสามี ลูกๆ แต่การช่วยงานตามความสะดวกแก่เวลา ความสามารถอย่างน้อยก็ต้องคิดว่าจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น การมาฟังบรรยายก็มาเร็วหน่อยช่วยกันจัดเก้าอี้ก็ถือว่าเป็นผลงานอย่างหนึ่ง, ช่วยกันเผยแพร่ผลงานของบรรดาคณาจารย์, ถอดบรรยายแล้วพิมพ์เผยแพร่ซึ่งหน้าที่นี้ผู้หญิงมีความละเอียดจะทำได้ดีกว่าผู้ชาย ขัดเกลาสำนวนภาษา ซึ่งงานลักษณะนี้ทำที่บ้านได้ง่ายๆ หรืออยู่บ้านว่างๆ ก็ทำงานได้ เช่น โทรศัพท์หาเพื่อนที่ไม่เรียบร้อยชักจูงให้มาคลุมหิญาบ หรือจะชักชวนสามีให้มาทำงานศาสนาผลักดันคอยกระตุ้นจิตใจด้วยวิธีต่างๆ เป็นต้น มุสลิมะฮฺสามารถทำอะไรได้เยอะ นี่เป็นวิธีต่างๆ ในการทำงานศาสนาในรูปแบบของมุสลิมะฮฺถ้าหากเราเพิ่มพูนคุณภาพของหิญาบของเรา ในการอีมานของเรา