การตอบโต้ข้อกล่าวหา ข้าพเจ้าและ อ.มุรีด ทิมะเสน เป็นก๊อดยานียฺ

Submitted by dp6admin on Mon, 30/11/2009 - 15:54

อาลี อีซา และครูสอ๊าด อับดุลเลาะห์ ได้ออกมาแก้ตัวหลายครั้งว่า ไม่เคยกล่าวหาข้าพเจ้าหรือ อ.มุรีด ทิมะเสน ว่าเป็นก๊อดยานียฺ เพียงแต่พูดว่าเราเป็นผู้สนับสนุนก๊อดยานียฺ หรือเป็นผู้สนับสนุนผู้ที่สนับสนุนก๊อดยานียฺ ความจริงแล้วการพูดว่า คนหนึ่งคนใดสนับสนุนลัทธิใดก็ตาม ก็ถือว่าเขาเหล่านั้นเห็นด้วยกับลัทธินั้น เพราะถ้าหากว่าคนหนึ่งคนใดไม่เห็นด้วยกับลัทธิหนึ่งลัทธิใด ไม่เป็นเหตุผลสำหรับผู้มีสติปัญญาที่จะสนับสนุนความเห็นของบุคคลที่เขาไม่เห็นด้วย แต่การแก้ตัวของ อาลี อีซา และครูสอ๊าด ถือว่าเป็นการหาทางออก เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่จะกล่าวหาข้าพเจ้าหรือ อ.มุรีด ทิมะเสน

ในข้อนี้ขอขยายความให้ผู้อ่านเข้าใจถึงอันตรายของคำกล่าว หาว่าข้าพเจ้าเป็นผู้สนับสนุนก๊อดยานียฺ เพราะการที่ใครก็ตามสนับสนุนก๊อดยานียฺนั้น ถือว่าเป็นการสนับสนุนหลักศรัทธาที่เป็นกุฟรฺและปฏิเสธอิสลามโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างคำพูดว่า “เป็นก๊อดยานียฺ” กับคำพูดว่า “เป็นผู้สนับสนุนก๊อดยานียฺ” เหมือนกับการพูดว่า “คนหนึ่งคนใดเป็นชีอะฮฺ” และ “คนหนึ่งคนใดสนับสนุนชีอะฮฺ”

แต่ถ้าหากว่าข้อแตกต่างที่ อาลี อีซา หรือครูสอ๊าดได้นึกถึงระหว่างสองคำกล่าวหานั้น คือการร่วมกิจกรรมเช่น การที่ข้าพเจ้าร่วมงานกับ อ.มุรีด ทิมะเสน ในการบรรยาย ศาสนธรรม หรือการที่ อ.มุรีด ร่วมกิจกรรมกับสมาคมญัมอียะฮฺฯ ซึ่งความคิดเช่นนี้ถือว่าเป็นความคิดที่ไม่เหมาะสมสำหรับนักวิชาการที่มีความรู้และมีบทบาทในสังคม เพราะการร่วมกิจกรรมที่ไม่มีปัญหาในด้านหลักการ ไม่ถือว่าเป็นการสนับสนุนคนหนึ่งคนใด โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มุสลิมอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก เพราะเป็นชนส่วนน้อยต้องพึ่งพาสังคมต่างศาสนิกในหลายประเด็น แต่ไม่มีใครพูดว่า การร่วมกิจกรรมกับคนต่างศาสนิกเช่นชาวพุทธ ถือว่าเป็นการสนับสนุนศาสนาพุทธ

แท้จริง เหตุผลของ อาลี อีซา และขบวนการของเขาในการกล่าวหาข้าพเจ้าและ อ.มุรีด เป็นเหตุผลที่ใช้ได้ในเชิงการเมืองและการทำงานในสังคมโดยใช้ระบบสากล เพราะเรื่องการเมืองกับระบบสากลนั้น ไม่ได้ยึดในหลักการของอัลอิสลามที่ให้ความสำคัญกับความยุติธรรม ซึ่งอิสลามส่งเสริมและสั่งใช้ให้เรามีความยุติธรรมแม้แต่กับศัตรูของเรา และเป็นมารยาทในการตอบโต้ที่ต้องอ้างเหตุผลและหลักฐานที่มีน้ำหนักในด้านหลักการศาสนา ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาสนา

อาลี อีซา และขบวนการของเขา ทราบดีถึงบุคคลที่ไม่ให้สลามข้าพเจ้า หรือไม่ละหมาดตามข้าพเจ้า และยืนยันในวันที่ 12 เม.ย. 2546 ว่า จำเป็นต้องหันห่างจากขบวนการก๊อดยานียฺ ไม่เช่นนั้นก็ถือว่ามีความผิดเหมือนกัน ข้อความนี้สร้างความเข้าใจกับหลายคนต่อข้าพเจ้าว่า ในเมื่อข้าพเจ้าและ อ.มุรีด เป็นผู้สนับสนุนก๊อดยานียฺก็ถือว่าเหมือนพวกก๊อดยานียฺ แต่ อาลี อีซา กลับไม่ตักเตือนบุคคลที่มีความเชื่อเช่นนี้ ทั้งๆที่ อาลี อีซา รู้ดีว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ตรงกับหลักการ เพราะการให้สลามกับมุสลิมเป็นสิทธิอันเข้มแข็งของบรรดามุสลิมีนซึ่งกันและกัน และการละหมาดตามอิมามเป็นหน้าที่ของผู้ตาม ในเมื่ออิมามยังถือว่าเป็นมุสลิม แม้ว่าอิมามจะเป็นมุบตะดิอฺ(ผู้กระทำบิดอะฮฺ)ก็ตาม

ข้าพเจ้าได้ยิน อาลี อีซา พูดต่อหน้าข้าพเจ้าว่า อิศลาหฺสมาคม ได้เปลี่ยนอุดมการณ์ในการต่อต้านก๊อดยานียฺ เนื่องจากข้าพเจ้าเชิญ อ.มุรีด ทิมะเสน มาบรรยายในงานของอิศลาหฺสมาคม อาลี อีซา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาไม่มีหลักฐานใดๆ ชัดเจนหรือไม่ ที่จะบ่งบอกว่า ข้าพเจ้าหรือ   อ.มุรีด มีทัศนะเกี่ยวกับก๊อดยานียฺอย่างไร แม้กระทั่งครูสอ๊าดก็ไม่สามารถตอบข้าพเจ้า ในคำถามที่ข้าพเจ้าเคยถามเขาถึงหลักฐานที่ว่า อ.มุรีด เป็นก๊อดยานียฺ แต่กลับพูดถึงเรื่องยกมือในการขอดุอาอฺ และตำหนิ อ.มุรีด เกี่ยวกับทัศนะของท่าน แต่เมื่อถูกถามว่าเรื่องยกมือไม่เกี่ยวกับก๊อดยานียฺ ทำไมจึงเป็นข้อตำหนิ ก็ไม่มีคำตอบ

ในวันที่ 12 เม.ย. มีการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นที่ว่า อิบรอฮีม กุเรชี เป็นก๊อดยานียฺหรือไม่ แต่ไม่มีการวิพากษ์ วิจารณ์หรืออ้างหลักฐานหรือเหตุผลว่า ข้าพเจ้าและ อ.มุรีด เป็นก๊อดยานียฺอย่างไร หรือสนับสนุนก๊อดยานียฺอย่างไร แต่มีการพูดและการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงท้าทาย อาลี อีซา ในประเด็นนี้ โดยข้อมูลเบื้องหลังของเหตุการณ์ไม่ถูกนำเสนอให้แก่ประชาชน เพราะเป็นข้อมูลที่น่าละอาย
ขณะนี้ข้าพเจ้าและ อ.มุรีด ถูกต่อต้านจากหลายสถาบันที่อยู่ในขบวนการของ อาลี อีซา แม้กระทั่งหนังสือของ อ.มุรีด ก็ถูกห้ามขายในหลายแหล่งที่เป็นซุนนะฮฺ และมีการพูดคุยทางวิทยุถึงข้าพเจ้าและ อ.มุรีด ในเชิงประณาม ดูหมิ่น และตำหนิ แต่ไม่มีการวิเคราะห์ทางวิชาการ

ข้าพเจ้าสามารถให้อภัยในสิ่งที่กระทบกับข้าพเจ้าได้ แต่ส่วนที่เกี่ยวกับหลักการและสังคม ผู้ผิดพลาดจำเป็นต้องสำนึกตัวและกลับเนื้อกลับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการยุติปัญหาเหล่านี้ และแก้ไขความผิดพลาดที่ส่งผลอันเลวร้ายต่อสังคมมุสลิมของเรา แท้จริง การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ยุติได้ด้วยการเลิกกล่าวหาซึ่งกันและกัน และมุ่งสู่การทำงานเพื่อศาสนาและสังคม แต่ตราบใดมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีความปรารถนาในการใส่ร้าย กล่าวหา และวิจารณ์ผู้อื่นอย่างเดียว สังคมก็จะไม่พ้นจากสภาพวิกฤติ และผู้แสวงหาความรู้จะได้รับกระแสแห่งวิชาการอันไร้ผลไร้ประโยชน์ ผู้ที่มีความจริงใจและบริสุทธิ์ใจ ต้องพยายามวางตัวให้ถูกต้องในการแสวงหาสัจธรรม เพราะการเอาชนะเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีส่วนตัว หรืออนุรักษ์สภาพความยิ่งใหญ่ของอดีตของตนเอง จะทำให้การเดินทางสู่ความจริงนั้น ย่อมประสบกับอุปสรรคหลายชนิด จึงทำให้เขาไม่บรรลุสู่ความจริง

เป็นแง่คิดสำหรับทุกคนว่า ถ้าหากว่าข้าพเจ้าและ  อ.มุรีด ไม่ถูกกล่าวหา ไม่ถูกขัดขวางโดยอ้างเรื่องก๊อดยานียฺ ปัญหานี้อาจไม่เกิดขึ้น แต่มีคำถามว่าฝ่ายตรงข้ามจะได้ผล ประโยชน์อะไรจากการโจมตีข้าพเจ้าและ อ.มุรีด ข้าพเจ้าไม่อยากจะเจาะลึกถึงความเป็นมาระหว่างข้าพเจ้ากับหลายกลุ่ม แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า หากข้าพเจ้ามีข้อเกี่ยวข้องกับก๊อดยานียฺ เหตุใดผู้อื่นที่มีข้อเกี่ยวข้องกับก๊อดยานียฺเช่นเดียวกัน ไม่ถูกโจมตีเหมือนข้าพเจ้า บางคนที่เคยถูกกล่าวหาว่าปกป้อง ก๊อดยานียฺกลับสามารถเป็นเพื่อนสนิทกับฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ ได้รับผลกระทบในการเป็นผู้ปกป้องก๊อดยานียฺ (ในทัศนะของ อาลี อีซา) ข้าพเจ้าไม่อยากเอ่ยนามบุคคลในความเป็นมาและเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ขอให้ทุกคนที่มีจุดยืน ให้ปฏิบัติตามจุดยืนอย่างสม่ำเสมอ และขออย่าเลือกปฏิบัติเหมือนนักการเมืองหรือผู้ไม่มีหลักการ

 

ข้าพเจ้าไม่พร้อมที่จะเป็นแพะรับบาปสำหรับผู้ที่ไม่พอใจในบทบาทของข้าพเจ้า แต่พร้อมรับคำตักเตือนชี้แนะหรือคำตำหนิ แต่การโจมตีโดยปราศจากเหตุผลจากบุคคลอื่น หรือจากบางคนที่เคยสนิทสนมกันอย่างลึกซึ้งแต่กลับกลายเป็นฝ่ายที่แสดงความเป็นศัตรูอย่างรุนแรง ลักษณะเช่นนี้ข้าพเจ้ารับไม่ได้เป็นอันขาด สุดท้าย ข้าพเจ้าขอวิงวอน(ดุอาอฺ)ต่ออัลลอฮฺ   ให้ทุกคนมีรัศมีและการจำแนกแห่งความยำเกรงระหว่างความเท็จและความจริง และขอให้ทุกฝ่ายไม่ยึดติดกับอารมณ์ใฝ่ต่ำ หรือผลประโยชน์แห่งดุนยา หรือศักดิ์ศรีของตนเอง

 

 

وَالحَمْدُ للهِ الَّذِيْ بِنِعْمَتِهِ تَتِمُّ الصَّالحِاَتُ 

سُبْحَانَكَ اللَّهُمَّ وَبِحَمْدِكَ أَشْهَدُ أَلا إِلَهَ إِلا أَنْتَ أَسْتَغْفِرُكَ وَأَتُوْبُ إِلَيْكَ