การรับวะฮียฺ

Submitted by dp6admin on Thu, 13/12/2018 - 11:52

การรับวะฮียฺ

ขณะที่ท่านนะบี  กำลังอิบาดะฮฺสรรเสริญอัลลอฮฺอยู่ในถ้ำฮิรออฺ ท่านญิบรีล อะลัยฮิสสลาม(*1*)  ได้มาหาท่าน เมื่อเห็นท่านญิบรีล ท่านนะบีรู้สึกหวาดกลัวและกังวล สิ่งแรกที่ญิบรีลสั่งให้ท่านนะบีทำ เป็นการพูดคุยระหว่างญิบรีลกับท่านนะบี 
 
(*1*) ท่านญิบรีลเป็นมลาอิกะฮฺท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียง มีตำแหน่งสูง มีบารมี ณ อัลลอฮฺ อัลลอฮฺบอกในอัลกุรอานว่าท่านญิบรีล มีพลัง มีบารมี ท่านนะบีบอกว่า ครั้งแรกที่เห็นท่านญิบรีลด้วยรูปร่างแท้จริง นั่งบนเก้าอี้ มีปีก 600 ปีก ในซูเราะฮฺฟาฏิร อัลลอฮฺบอกว่า “ผู้ทรงแต่งตั้งมะลาอิกะฮฺให้เป็นผู้นำข่าว ผู้มีปีกสอง สาม และสี่ ทรงเพิ่มในการสร้างตามที่พระองค์ทรงประสงค์” อย่าเข้าใจว่าปีกมลาอิกะฮฺเหมือนปีกไก่ เราไม่เคยเห็นแล้วก็จินตนาการไม่ได้ เพียงแต่รู้ว่าเป็นปีก และความยิ่งใหญ่ของญิบรีล ท่านนะบีบอกว่าบังขอบฟ้าไปหมด และในเรื่องของเมืองซะดูมก่อนที่แผ่นดินจะสูบไป ท่านญิบรีลยกเมืองโดยใช้ปีกเดียว ยกขึ้นถึงชั้นฟ้าแล้วคว่ำลงมา หายไป เป็นทะเลเดดซี นี่คือสภาพของญิบรีล
 
คำแรกที่ท่านญิบรีลนำมาจากพระผู้เป็นเจ้ายังนบี คือ إِقْرَأْ (อิกเราะ) - จงอ่าน เมื่อท่านนะบีได้ยินจึงตอบว่า مَا أَنَا بِقَارِئ “ฉันไม่ได้เป็นผู้อ่าน” (หมายถึงฉันอ่านไม่เป็น) (*2*) เพราะท่านนะบีไม่เคยเรียนหนังสือ ท่านนะบีนึกว่าจะให้อ่านหนังสือจึงบอกว่าอ่านไม่เป็น ญิบรีลจึงกอดหรือบีบ (*3*) ท่านนะบีอย่างรุนแรงจนสุดความสามารถในการอดทนของท่าน แล้วปล่อย และบอกอีกครั้งว่า إِقْرَأْ   - จงอ่าน ท่านนะบีตอบอีกครั้งว่า مَا أَنَا بِقَارِئ “ฉันไม่ได้เป็นผู้อ่าน” ญิบรีลจึงกอดหรือบีบจนสุดความสามารถของท่านที่จะทนได้เป็นครั้งที่สอง แล้วปล่อย และบอกอีกเป็นครั้งที่สามว่า إِقْرَأْ ท่านนะบีจึงตอบอีกครั้งว่า مَا أَنَا بِقَارِئ เช่นเดียวกัน สุดท้ายญิบรีลจึงบอก 
 
اقْرَأْ بِاسْمِ رَبِّكَ الَّذِي خَلَقَ ﴿١﴾ خَلَقَ الْإِنسَانَ مِنْ عَلَقٍ ﴿٢﴾ 
الْأَكْرَمُ ﴿٣﴾ الَّذِي عَلَّمَ بِالْقَلَمِ ﴿٤﴾ اقْرَأْ وَرَبُّكَ
 “จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้า ผู้ทรงบังเกิด ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา” [อัลอะลัก 96:1-4]
 
เป็นซูเราะฮฺแรกที่ญิบรีลได้สอนท่านนะบี เป็นซูเราะฮฺที่ทำให้ประชาชาติอิสลามต้องภูมิใจในอัลกุรอาน 
 
“الْقُرْان - อัลกุรอาน” หมายถึง คัมภีร์ที่อ่านได้ เป็นตำราแห่งการอ่าน การศึกษา คำแรกที่ท่านญิบรีลนำลงมาไม่ใช่ “จงเคารพภักดี” ไม่ใช่ “จงละหมาด” ไม่ใช่ “จงทำอิบาดะฮฺ” ไม่ใช่ “จงถือศีลอด” แต่เป็น “จงอ่าน” นั่นคือสิ่งที่เราต้องภูมิใจว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งการอ่านและการศึกษา ต่อไปนี้ประชาชาติอิสลามจะไม่เป็นประชาชาติที่โง่เขลา เพราะได้รับคำสั่งจากอัลลอฮฺอย่างชัดเจน คำสั่งแรก คือ “จงอ่าน” ในสิ่งที่ต้องอ่าน หมายถึงต้องอ่านกุรอาน และอ่านด้วยพระนามของพระผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ 
 
(*2*) สมัยก่อน อาหรับที่ไม่เรียนหนังสือก็พูดเป็น พูดเก่ง เพราะถึงแม้ว่าไม่ได้เรียนหนังสือแต่มีภาษาสูง
(*3*) มีอีกรายงานหนึ่งว่าวิธีกอดคือบีบคอ แต่ที่ระบุในซอฮีหฺบุคอรียฺ บีบมีหลายลักษณะคืออาจกอดหรือบีบหน้าอกก็ได้ แต่ที่ท่านนะบีบอกก็คือ มีการกระทำเกิดขึ้นกับท่าน ทำให้ท่านอดทนไม่ไหว 
 
มีหลายบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ บทเรียนแรกคือ อัลกุรอานมายังท่านนะบีด้วยความรุนแรง ญิบรีลบีบจนท่านนะบี  ทรมาน ลักษณะวะฮียฺที่ท่านนะบีรับจากอัลลอฮฺ มาด้วยความรุนแรงและหนักแน่นที่สุด ท่านนะบีได้เล่ากับท่านฮาริษ อิบนุ ฮิชาม  ซึ่งถามท่านนะบีถึงตอนรับวะฮียฺว่าวะฮียฺมาอย่างไร ท่านนะบีบอกว่า บางครั้ง วะฮียฺมาด้วยเสียงเหมือนเสียงระฆัง (แต่ไม่ใช่เสียงระฆัง) และนี่คือลักษณะที่รุนแรงที่สุดสำหรับฉัน 
 
ท่านหญิงอาอิชะฮฺบอกว่า วะฮียฺมายังท่านนะบีในช่วงคืนฤดูหนาวที่เมืองมะดีนะฮฺหนาวจัด เมื่อวะฮียฺมาและไปแล้ว ท่านนะบีเหงื่อท่วม (ซอฮีหฺบุคอรียฺ 1 หะดีษที่ 2) และอัลลอฮฺทรงตรัสว่า
 إِنَّا سَنُلْقِي عَلَيْكَ قَوْلًا ثَقِيلًا ﴿٥
 “แท้จริง เราจะประทานถ้อยคำที่หนักแน่นยังสูเจ้า” [อัลมุซซัมมิล 73:5]
อัลกุรอานเป็นถ้อยคำที่หนักแน่นและรุนแรง ศ่อฮาบะฮฺบางท่านเล่าว่า ตอนท่านนะบีขี่อูฐแล้วรับกุรอาน อูฐขาอ่อน ต้องล้ม เพราะวะฮียฺที่หนักและแรงมากมายังท่านนะบี 
 
ครั้งหนึ่ง ท่านซัยดฺ อิบนิ ษาบิต เคยมานั่งใกล้ชิดนะบีจนหัวเข่านะบีอยู่บนหัวเข่าท่าน ขณะนั้นวะฮียฺมา เซดบอกว่าหัวเข่าของท่านนะบีบีบหัวเข่าของฉันจนฉันกลัวว่าหัวเข่าจะแตก เนื่องจากความรุนแรงหรือความหนักที่มันเกิดขึ้นเมื่อมีวะฮียฺลงมายังท่านนะบี 
 
นี่คือเรื่องที่เราต้องวิเคราะห์ไว้เป็นบทเรียน สิ่งที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ที่สุดและมีความศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดสำหรับประชาชาติอิสลามคือ อัลกุรอาน เพราะตามอะกีดะฮฺของอะฮฺลุสซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ อัลกุรอานเป็น “กะลามุลลอฮฺ” (ใช้ภาษาราชาศัพท์เพื่อแยกระหว่างสิ่งที่ธรรมดากับไม่ธรรมดา “คำพูด” ใช้กับมนุษย์ “พระดำรัส” ก็ยังไม่สูงพอ) บรรดาสลัฟบอกว่าอัลกุรอานเป็นดำรัสที่มาจากอัลลอฮฺ สิ่งที่มาจากอัลลอฮฺจะมีความยิ่งใหญ่มากเพียงใด 
 
وَلَمَّا جَاءَ مُوسَىٰ لِمِيقَاتِنَا وَكَلَّمَهُ رَبُّهُ قَالَ رَبِّ أَرِنِي أَنظُرْ إِلَيْكَ ۚ قَالَ لَن تَرَانِي وَلَـٰكِنِ انظُرْ إِلَى الْجَبَلِ فَإِنِ اسْتَقَرَّ مَكَانَهُ فَسَوْفَ تَرَانِي ۚ فَلَمَّا تَجَلَّىٰ رَبُّهُ لِلْجَبَلِ جَعَلَهُ دَكًّا وَخَرَّ مُوسَىٰ صَعِقًا ۚ فَلَمَّا أَفَاقَ قَالَ سُبْحَانَكَ تُبْتُ إِلَيْكَ وَأَنَا أَوَّلُ الْمُؤْمِنِينَ
 
 “เขา (นะบีมูซา) ได้กล่าวขึ้นว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดให้ข้าพระองค์เห็นด้วยเถิด โดยที่ข้าพระองค์จะได้มองดูพระองค์ พระองค์ตรัสว่า เจ้าจะเห็นข้าไม่ได้เป็นอันขาด แต่ทว่าเจ้าจงมองดูภูเขานั้นเถิด ถ้าหากมันมั่นอยู่ ณ ที่ของมัน เจ้าก็จะเห็นข้า” (คำว่า “ตะญัลลา” ในคำแปลของอัลกุรอานใช้หลายคำ เช่น “ปรากฏ” “เสด็จ” มายังภูเขา) [อัลอะอฺรอฟ 7:143]
 
มีรายงานบันทึกโดยอิหม่ามอิบนิญะรีร อัฏฏ๊อบรียฺว่า ส่วนจากพระองค์ที่อัลลอฮฺทรงอนุญาตให้ปรากฏบนภูเขาลูกนี้เท่ากับปลายนิ้วมนุษย์ เมื่อพระองค์ปรากฏเหนือภูเขา ภูเขาระเบิดละเอียดไม่เหลือชิ้นดี นี่เพียงแค่ส่วนที่ปรากฏจากพระองค์บนภูเขา แล้วกะลามุลลอฮฺที่ปรากฏกับท่านนะบีจะเป็นอย่างไร ท่านนะบีต้องรับความยากลำบากมากเพียงใดตอนรับวะฮียฺจากอัลลอฮฺ พลังที่อัลลอฮฺให้กับท่านนะบีไม่มีใครสู้ได้ (เวลาสงคราม มือหลุดเท้าหลุดเอาดาบฟันเลือดพุ่ง ไม่มีใครป้องกันเราได้นอกจากท่านนะบี มาแอบหลังท่านนะบี เพราะท่านนะบีเวลารบไม่กลัวเลย นี่คือความกล้าหาญและความแข็งแรงของท่าน) 
 
จะเห็นได้ว่าท่านนะบีมีความอดทนในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการรับวะฮียฺ นี่คือบทเรียนที่เราต้องนำมาใช้ในยุคปัจจุบัน ใครที่อยากรับพระเกียรติของอัลกุรอาน เพื่อเป็นแสงสว่างหรือรัศมีในการทำงานศาสนา ต้องรู้ว่าการรับภารกิจของอัลกุรอานไม่ใช่เรื่องเล็ก ต้องเข้มแข็ง ตอนที่ท่านนะบีรับวะฮียฺต้องมีภารกิจหนักเพียงใด ใครที่จะตามท่านนะบี จะนำอัลกุรอานไปเผยแผ่ ต้องมีภารกิจเหมือนท่าน ต้องเข้มแข็งเหมือนท่าน จะถือว่าอัลกุรอานเป็นเรื่องหากิน หาซองหรือรายได้ ไม่ใช่แบบอย่างนะบี เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นคนที่เอาอัลกุรอานมาหากิน จะเห็นว่าคนนั้นไม่มีศาสนา ทางนั้นก็มีเพลง ทางนี้ก็มีผู้หญิง ทางนู้นก็มีคนสูบบุหรี่ นี่ไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่คนฟังกุรอานหรือวะฮียฺจากอัลลอฮฺ นี่คือบทเรียนจากประวัติศาสตร์ที่เราต้องเรียนรู้และนำมาใช้ในชีวิตของเรา 
 
เมื่อศ่อฮาบะฮฺได้สดับฟังอัลกุรอาน ภาพที่จะปรากฏ ณ ที่นั้นคือ การเคารพ ความสงบ และความตั้งใจในการฟังพระดำรัสของอัลลอฮฺ ท่านมุฮัมมัด อิบนิกะอฺบ อัลกุเราะซียฺ เมื่อจะอ่านอัลกุรอานท่านจะจับอัลกุรอาน กอด และกล่าวว่า “กะลามุร็อบบี กะลามุร็อบบี –คำพูดของพระเจ้าของฉัน” บางคนทำเรื่องเช่นนี้กับจดหมายคนที่รักเหมือนในละคร เราเคยทำกับอัลกุรอานบ้างหรือเปล่า? “อัลลอฮฺของฉัน” เคยรู้สึกหรือไม่ว่าเวลาจับอัลกุรอานแล้วมีความสุข มีความสงบ นี่คือสิ่งที่เราต้องเข้าใจเมื่อศึกษาประวัติของท่านนะบี มองเห็นถึงคุณค่าของอัลกุรอาน ท่านนะบีรับอัลกุรอานมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกทั้งหมด เพื่อปรับปรุงสภาพของชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย เพราะคนแรกที่เปลี่ยนชีวิตด้วยอัลกุรอานก็คือท่านนะบี 
 
เมื่อท่านนะบีได้ยินคำพูดของท่านญิบรีลที่นำอัลกุรอานมา ท่านหวาดกลัวมาก จึงกลับบ้านไปหาท่านหญิงคอดิญะฮฺภรรยาของท่าน “เอาผ้าห่มมาห่มฉัน เอาผ้าห่มมาห่มฉัน ไม่ไหว ไม่ไหว” ท่านนะบีได้ยินสิ่งที่หนักแน่นมากที่สุดสำหรับจิตใจของท่าน เมื่อท่านหญิงคอดิญะฮฺมาหาท่านนะบีถามว่า “อะไรเกิดขึ้นกับท่าน” ท่านนะบีตอบว่า “ฉันเห็นอย่างนั้น...” ท่านเล่าเหตุการณ์ให้ท่านหญิงคอดิญะฮฺฟัง 
 
ท่านนะบีปรึกษาภรรยาในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ อัลกุรอาน ความเป็นนะบี และภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่กำลังจะประสบในชีวิตของท่าน นั่นแสดงว่า โดยธรรมชาติระหว่างภรรยาสามี ต้องมีการปรึกษาและช่วยเหลือกันในปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ อัลลอฮฺตรัสในอัลกุรอาน 
 
لَّكُمْ وَأَنتُمْ لِبَاسٌ لَّهُنَّ هُنَّ لِبَاسٌ
 “นางทั้งหลายคือเครื่องนุ่งห่มของพวกเจ้า และพวกเจ้าคือเครื่องนุ่งห่มของพวกนาง” [อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:187] 
 
เหตุใดอัลลอฮฺจึงทรงเปรียบเทียบว่าสามีภรรยาเหมือนเสื้อผ้าซึ่งกันและกัน? เพราะเวลาที่เปลือยกายเราจะรู้สึกอึดอัด รู้สึกอาย อยากปิดบังเอาเราะฮฺ เวลาแต่งตัวรู้สึกสบายใจ เปรียบเหมือนผู้ชายมีภรรยาที่พึ่งได้ทำให้สบายใจ ผู้หญิงมีสามีที่พึ่งได้เหมือนเสื้อผ้า เมื่อมีสามีแบบนี้สบายใจ เหมือนคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าจะสบายใจ ถ้ามีสามีแล้วยังไม่สบายใจ แสดงว่าเสื้อผ้าขาดไปหน่อย มีรูนิดนึง หรือสามีถ้ามีภรรยาแล้วรู้สึกอึดอัด ก็แสดงว่าต้องมีข้อบกพร่องบางอย่าง 
 
ชีวิตของท่านนะบีเป็นแบบอย่างทุกด้าน ท่านหญิงคอดิญะฮฺก็เป็นผู้หญิงที่รู้คุณค่าของสามี เธอไม่ได้บอกว่า อย่าไปอีกเลย เดี๋ยวมีเรื่อง เพราะภรรยามักหวงหรือกลัวว่าสามีจะหายไป จะออกไปไหนต้องระมัดระวัง แต่ท่านหญิงคอดิญะฮฺบอกท่านนะบีด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นว่า “ท่านอย่ากลัวเลย ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ อัลลอฮฺไม่ทอดทิ้งท่านหรอก เพราะเวลามีคนยากจนท่านช่วย เวลามีคนลำบากท่านอุดหนุนสนับสนุน เวลามีแขกมาท่านก็ให้เกียรติแขกเต็มที่” (หมายถึง ท่านนะบีมีคุณธรรม มีจริยธรรม มีความดีงามในชีวิตของท่าน จึงไม่ควรที่พระผู้เป็นเจ้าจะทิ้งท่าน) นี่คือความคิดของคนฉลาด ซึ่งสนับสนุนท่านนะบี ไม่ต้องกลัว ท่านไม่เคยทำผิด ท่านเป็นคนดี และคนที่ทำความดีอัลลอฮฺจะไม่ทิ้งเขา 
 
ท่านหญิงคอดิญะฮฺพาท่านนะบีไปหา วะเราะเกาะฮฺ อิบนุ เนาฟัล (*4*) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านหญิงคอดิญะฮฺ ท่านหญิงคอดิญะฮฺบอกให้ท่านนะบีเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับวะเราะเกาะฮฺ เพราะวะเราะเกาะฮฺมีข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับนะบีที่มาก่อน (นี่คือความฉลาดของท่านหญิงคอดิญะฮฺ ที่รู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังเกี่ยวกับศาสนา จึงไปหาวะเราะเกาะฮฺ) เมื่อท่านนะบีเล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับท่านญิบรีล วะเราะเกาะฮฺนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “หากที่ท่านได้เล่ามาเป็นความจริง นี่คือสิ่งที่มาหาท่านนะบีมูซา เรียกว่า อันนามูส (หมายถึงสิ่งเร้นลับที่มายังท่านนะบีจากท่านญิบรีล) สิ่งที่มาหาท่านก็คือ ญิบรีล ที่มาหาท่านนะบีมูซา ถ้าท่านพูดจริง แสดงว่าท่านเป็นนะบี ฉันอยากมีอายุยืนยาวและแข็งแรงขณะที่ท่านจะถูกขับไล่จากมักกะฮฺ” ขณะที่วะเราะเกาะฮฺพูดเช่นนี้ ท่านนะบียังไม่เรื่อง จึงถามว่า “กลุ่มชนหรือเผ่าของฉันจะไล่และต่อต้านฉันหรือ” ท่านนะบีแปลกใจ วะเราะเกาะฮฺบอกว่า “ไม่มีใครในที่มายุคก่อนหน้าท่าน นำกุรอาน วะฮียฺ หรือคำสั่งของอัลลอฮฺมาสอนผู้คน เว้นแต่ต้องถูกต่อต้าน” 
 
(*4*) วะเราะเกาะฮฺ เป็นชาวกุเรชท่านหนึ่งที่ไปศึกษาศาสนาทั่วโลก ไปเมืองชาม,ฟาริส และสุดท้ายท่านได้เข้าศาสนาคริสต์ที่ไม่ได้ถูกบิดเบือน และมีความรู้วิชาการเกี่ยวกับศาสนาคริสต์จนกระทั่งสามารถเขียนไบเบิลอินญีลและเตารอต ด้วยภาษาฮิบรู (บันทึกโดยบุคอรียฺ) ท่านหญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า วะเราะเกาะฮฺมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาก่อนหน้าท่านนะบี จนกระทั่งสามารถเขียนอินญีลและเตารอตเป็นภาษาฮิบรู (ภาษาเดิมของนะบีมูซาและนะบีอีซา) ได้
 
คุณค่าของประวัติศาสตร์เหมือนเป็นคำแนะนำในทุกยุคทุกสมัย คนที่เผยแผ่ศาสนา คนที่เผยแผ่สัจธรรม คนที่พูดความจริง คนที่นำคำสั่งสอนของอัลลอฮฺมาสู่คนอื่น ต้องเตรียมทำใจ ท่านมีหน้าที่พูดสัจธรรม ท่านต้องถูกต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อพูดจริงต้องถูกต่อต้าน โดยเฉพาะคนที่นำวะฮียฺมา พูดด้วยหลักการ พูดด้วยหลักฐาน คนที่พูดลอย ๆ ก็จะลอยไป แต่คนที่แข็ง หนักแน่น มีจุดยืน ก็ต้องมีการเผชิญหน้า
 
ท่านนะบีพูดตรงไปตรงมา รูปเจว็ดพูดไม่ได้ คนมีสติปัญญาเอาอินทผลัมมากวนแล้วปั้นเป็นรูปเจว็ดเพื่อบูชา เสร็จแล้วก็เอามากิน พูดเตือนยังไงก็ไม่รู้เรื่อง ท่านนะบีจึงต้องประณามรูปเจว็ดของพวกเขา ประณามสติปัญญาของพวกเขา ต้องพูดตรงไปตรงมา พูดอ้อมไม่ได้ เหมือนปัจจุบันนี้ เวลาพูดเรื่องชิริกเราบอกว่าเราพูดเฉพาะของเรา ไม่เกี่ยวกับของคนอื่น จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อของคนอื่นนี่ล่ะที่มีอยู่สมัยท่านนะบี ชิริกที่มุสลิมทำก็เป็นชิริก แต่ไม่ใช่ชิริกแท้ ชิริกที่เราเห็นกันเต็มบ้านเมืองไปหมด นี่คือชิริกแท้ ๆ แล้วถ้าเราบอกไม่ใช่หน้าที่เรา คนนี้ไม่สามารถเข้าใจศาสนาเราได้ เมื่อไปดูท่านนะบีท่านนำอัลกุรอานมาสอนชาวกุเรชที่ทำชิริกเหมือนที่อยู่ในบ้านเมืองของเรา ท่านนะบีก็พูดตรงไปตรงมา 
 
ท่านนะบีแปลกใจว่าญาติพี่น้องของท่านจะขับไล่ท่านหรือ วะเราะเกาะฮฺบอกว่า “ไม่รอด ไม่มีใครนำสัจธรรมมาบอกคนอื่นเว้นแต่จะถูกต่อต้าน” ท่านนะบีกลับบ้านไป คิดว่าในโลกนี้กุฟรฺ (ชิริก) เต็มไปหมด แล้วท่านมีหน้าที่นำเอาสัจธรรมไปบอกคนอื่น บางครั้งสามีพูดจริงกับภรรยาหรือภรรยาพูดจริงกับสามีก็เครียดทั้งคืน นอนไม่หลับ เพราะบอกความจริง แต่ท่านนะบีตั้งใจแล้วว่าต้องนำสัจธรรมไปบอกคนทั้งโลก ต้องเครียดมากกว่า เมื่อกลับบ้าน ท่านหญิงคอดิญะฮฺบอกว่านอนพักผ่อนเถิด ท่านนะบีบอก “ผ่านพ้นไปแล้ว ช่วงเวลาที่ต้องนอนหลับพักผ่อน ไม่มีเวลาแล้ว” นี่คือภารกิจของท่านนะบีซึ่งเป็นตัวอย่างของคนที่เผยแผ่ศาสนา ไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว เพราะชีวิตของท่านต้องใช้หมดไปกับการแก้ไขปัญหาในโลกนี้ เจว็ดเต็มกะอฺบะฮฺ 300 กว่ารูป ซินาทั่วมักกะฮฺ ดอกเบี้ย ความเท็จ ความลามก เต็มไปหมด ท่านนะบีต้องทำอย่างไร 
 
ท่านนะบีเริ่มชีวิตใหม่ คนแรกที่เปลี่ยนชีวิตด้วยวะฮียฺหรืออัลกุรอานก็คือ ท่านนะบี ไม่มีแล้วเวลาสำหรับนอนหลับ ต่อไปเราจะได้เห็นว่าอัลกุรอานเปลี่ยนแปลงชีวิตของทุกคนที่รับอัลกุรอานอย่างแท้จริง
 
มาวิเคราะห์คุณค่าของวะฮียฺ เพื่อให้เราได้สัมผัสคุณค่าของอัลกุรอาน อัลกุรอานที่มีคุณค่าและศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในชีวิตของเรา กลับถูกโยนทิ้งไว้เบื้องหลัง กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีคุณค่าในชีวิตของเรา เมื่อมีปัญหา อัลกุรอานคือสิ่งสุดท้ายที่จะนึกถึง เราต้องเลิกสภาพชีวิตเช่นนี้ บางคนอ่านอัลกุรอานคล่อง สามารถศึกษารู้ความหมายอัลกุรอาน แต่ชีวิตของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เหมือนคนที่ปฏิเสธอัลลอฮฺ หรือคนที่ไม่มีหลักการศาสนา ไม่มีคุณค่าในชีวิต 
 

กลุ่มชนที่ประเสริฐ

 
บรรดานักประวัติศาสตร์บอกว่า ช่วงแรกที่ท่านนะบีได้รับวะฮียฺจากอัลลอฮฺในปีที่ 2 มีเหตุการณ์มิอฺรอจที่ท่านนะบีขึ้นไปยังชั้นฟ้าแล้วรับคำบัญชาให้ละหมาด 5 เวลา แต่ก่อนหน้านั้นมีการให้ละหมาดกลางคืนเป็นฟัรฎู 
 
﴿٣﴾ يَا أَيُّهَا الْمُزَّمِّلُ ﴿١﴾ قُمِ اللَّيْلَ إِلَّا قَلِيلاً ﴿٢﴾ نِصْفَهُ أَوِ انقُصْ مِنْهُ قَلِيلاً
 “โอ้ผู้ห่มกายเอ๋ย จงยืนขึ้นละหมาด (เวลากลางคืน) เว้นแต่เพียงเล็กน้อย ครึ่งหนึ่งของเวลากลางคืน หรือน้อยกว่านั้นเพียงเล็กน้อย” [อัลมุซซัมมิล 73:1-3]  
 
เป็นคำสั่งสำหรับท่านนะบีให้ยืนละหมาดกลางคืนตลอดคืน ไม่เช่นนั้นก็ครึ่งกลางคืน ไม่เช่นนั้นก็ส่วนหนึ่งในกลางคืน บรรดานักประวัติศาสตร์บอกว่าท่านนะบีและศ่อฮาบะฮฺได้นำอัลกุรอานมาอ่านตอนละหมาดกลางคืนหนึ่งปีจนกระทั่งเท้าบวม วิเคราะห์

กันว่า พวกที่รับวะฮียฺชุดแรก เป็นกลุ่มชนที่มีคุณค่ามาก ดีเลิศที่สุดในบรรดามนุษยชาติ และมีศักยภาพในการนำสัจธรรมไปสู่ประชาคมโลก พวกเขาต้องเป็นคนดี ปรากฏว่าจริง เพราะคนที่เข้ารับอิสลามในยุคแรก ๆ เป็นคนที่หนักแน่นเข้มแข็งมากในเรื่อง เช่น ท่านอบูบักร อุมัร อุษมาน และอะลี เป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่เข้ารับอิสลาม 
 

เรียบเรียงจากการบรรยายของ เชคริฎอ อะหมัด สมะดี, เรื่อง ชีวประวัติท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ครั้งที่ 4 (2 เม.ย.47) 

การรับวะฮียฺ